ชูกองทุนหลักK-WealthPLUS หลบเสี่ยงพักเงินตราสารหนี้

#บลจ.กสิกรไทย #ทันหุ้น - บลจ.กสิกรไทย เผยการประกาศภาษี Reciprocal Tariff จากทรัมป์ทำตลาดการเงินทั่วโลกปั่นป่วน แนะผู้ลงทุนพิจารณาสัดส่วนการลงทุน โดย Core Portfolio ยังลงทุนระยะยาวในกองทุนกลุ่ม K-WealthPLUS Seriesได้เช่นเดิม ส่วน Satellite Portfolioให้ปรับลดสัดส่วนกองทุนหุ้นเวียดนามและจีน พร้อมเพิ่มสัดส่วนลงทุนในกองทุน K-SFPLUS สำหรับพักเงินระยะสั้น 3-6 เดือน และกองทุน K-FIXEDPLUS สำหรับระยะเวลาลงทุน 1-1.5 ปีขึ้นไป
นายวจนะ วงศ์ศุภสวัสดิ์ CFAกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จากัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่า ตลาดการเงินทั่วโลกปั่นป่วนหลังทรัมป์ประกาศภาษี Reciprocal Tariff เมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา ส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐ ปรับตัวลงแรง ทั้งดัชนี Dow Jones, S&P 500 และ Nasdaqโดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและสินค้าอุปโภคบริโภคที่พึ่งพาจีน-เวียดนาม รวมถึงหุ้นกลุ่มธนาคารชั้นนำของโลก
นอกจากนี้ ด้านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ อายุ 10 ปี ลดลงมาอยู่ที่ 4% สะท้อนความกังวลเศรษฐกิจถดถอย ทำให้ดอลลาร์อ่อนค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินปลอดภัยอย่างเยนและฟรังก์สวิส รวมถึงเงินบาทก็อ่อนค่าลงในวันที่มีการประกาศภาษีนำเข้า
*ศก.เสี่ยงถดถอย
นายวจนะกล่าวต่อไปว่า จากความกังวลของผู้ลงทุนว่าภาษีใหม่จะทำให้เกิด Stagflationนั่นคือ เงินเฟ้อสูง เศรษฐกิจชะลอตัว ซึ่งอาจส่งผลให้มีโอกาสเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) สูงขึ้นได้นั้น ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย แนะนำให้ผู้ลงทุนพิจารณาสัดส่วนการลงทุนใน Core-Satellite Portfolio โดยในส่วนของ Core Portfolioที่ต้องการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะยาวนั้น ผู้ลงทุนยังสามารถคงสัดส่วนการลงทุนในกองทุนกลุ่ม K-WealthPLUS Series ทั้ง K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP และ K-WPULTIMATE ได้เช่นเดิม
ส่วน Satellite Portfolioผู้ลงทุนควรปรับลดสัดส่วนการลงทุนในกองทุนที่มีหุ้นจากประเทศที่ได้รับผลกระทบจากภาษีนำเข้าในรอบนี้อย่างเวียดนามและจีน เป็นต้น
*แนะกองทุนพักเงิน
นอกจากนี้ ผู้ลงทุนยังสามารถเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในกองทุนที่มีความเสี่ยงต่ำได้ ไม่ว่าจะเป็นกองทุน K-SFPLUS สำหรับพักเงินระยะสั้น 3-6 เดือน และกองทุน K-FIXEDPLUS สำหรับระยะเวลาลงทุน 1-1.5 ปีขึ้นไป อย่างไรก็ตาม ผู้ลงทุนควรติดตามนโยบายโต้ตอบจากจีนหรือประเทศคู่ค้าอื่นๆ ที่อาจจะตอบโต้ด้วยภาษีของตัวเอง หรือมาตรการทางการค้าอื่นๆ รวมถึงการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed หลังจากนี้
นายวจนะกล่าวเพิ่มเติมว่า กองทุน K-SFPLUS เป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นทั้งในและต่างประเทศ อาทิ พันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้เอกชนของไทย และเงินฝากต่างประเทศบางส่วน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการพักเงินก่อนที่จะสับเปลี่ยนไปลงทุนในกองทุนอื่นๆ ต่อไป โดยแนะนำให้ถือไว้อย่างน้อย 6 เดือน
สำหรับกองทุน K-FIXEDPLUSเน้นลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพดีทั้งในและต่างประเทศ อาทิ พันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย หุ้นกู้เอกชนของไทย และอาจมีการกระจายลงทุนบางส่วนในเงินฝากหรือตราสารหนี้ต่างประเทศที่มีความมั่นคงสูง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดความผันผวนให้กับพอร์ตในระยะยาว และสามารถลงทุนได้นานตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป