ฝ่าวิกฤต "JetBlue" ลดต้นทุนรอบใหม่ สู้ศึกรายได้ลด l การตลาดเงินล้าน

Joanna Geraghty (โจแอนนา เกราห์ตี) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ JetBlue เปิดเผยในบันทึกถึงพนักงานเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาว่า แม้บริษัทจะคาดหวังว่าการจองตั๋วและความต้องการเดินทางจะฟื้นตัวขึ้นในช่วงถัดไป แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นแล้วในปีนี้ก็ยังไม่สามารถชดเชยได้หมด และบริษัทจำเป็นต้องพึ่งพาเงินกู้ในการดำเนินกิจการต่อไป

แผนการล่าสุดของ JetBlue ได้แก่ การปรับลดเที่ยวบินในช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยวและเส้นทางที่ไม่ทำกำไร รวมถึงการพักการใช้งานเครื่องบิน Airbus A320 รุ่นเก่าจำนวน 4 ลำ ที่เดิมมีแผนจะตกแต่งภายในใหม่ โดยจะเลื่อนแผนนี้ออกไปก่อน ส่วนเครื่องอีก 6 ลำที่มีแผนปรับปรุงในปีหน้า ยังคงดำเนินการต่อไปตามแผนเดิม

ด้านทรัพยากรบุคคล บริษัทอยู่ระหว่างพิจารณาทบทวนแผนการจ้างงาน และอาจรวมตำแหน่งบริหารบางส่วนเพื่อลดต้นทุน นอกจากนี้ยังเตรียมควบคุมค่าใช้จ่ายในการเดินทางของพนักงานในองค์กร

แนวโน้มการลดกำลังการผลิตเที่ยวบินเริ่มชัดเจนขึ้นในอุตสาหกรรมการบินของสหรัฐฯ โดยสายการบินหลายแห่งเริ่มปรับลดแผนเที่ยวบินในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ เนื่องจากยอดจองภายในประเทศที่อ่อนแอและราคาตั๋วโดยสารที่ลดลง โดยในเดือนพฤษภาคม อัตราค่าโดยสารเฉลี่ยลดลงร้อยละ 7.3 เมื่อเทียบกับปีก่อน ตามรายงานของกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ

JetBlue เผชิญความท้าทายในการฟื้นฟูธุรกิจหลังความพยายามควบรวมกับสายการบินราคาประหยัด Spirit Airlines ถูกศาลรัฐบาลกลางสหรัฐฯ สั่งระงับ รวมถึงการยกเลิกพันธมิตรในภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือกับ American Airlines เมื่อปี 2023 ทั้งนี้ JetBlue ไม่สามารถสร้างกำไรประจำปีได้เลยนับตั้งแต่ปี 2019

แม้เผชิญอุปสรรคหลายด้าน JetBlue ยังเดินหน้าหาแนวทางเพิ่มรายได้ ล่าสุดประกาศความร่วมมือกับ United Airlines ที่จะเปิดให้ลูกค้าจองเที่ยวบินร่วมกันและสะสมคะแนนระหว่างสองสายการบินได้

Geraghty (เกราห์ตี) กล่าวเพิ่มเติมว่าบริษัทจะยังคงจ้างพนักงานหน้างานในบางตำแหน่งที่จำเป็น รวมถึงแต่งตั้งผู้อำนวยการดูแลความร่วมมือกับ United Airlines ซึ่งเป็นแผนงานสำคัญเชิงกลยุทธ์

JetBlue ยังคงมุ่งลงทุนในที่นั่งพรีเมียมภายในประเทศและสิ่งอำนวยความสะดวกในสนามบิน เพื่อดึงดูดผู้โดยสารที่พร้อมจ่ายมากขึ้นสำหรับประสบการณ์การเดินทาง โดยแผนการติดตั้งที่นั่งระดับเฟิร์สคลาส และสร้างเลานจ์สนามบินยังคงเดินหน้าเช่นเดิม