ไทยยังไม่พบ 'ฟลูโรนา' สธ.ยันไข้หวัดใหญ่กับโควิดเป็นไฮบริดไม่ได้
เมื่อวันที่ 7 มกราคม นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงกรณีพบมีการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ (Influenza) และเชื้อไวรัสโคโรนา (Corona) ในคนเดียวกันที่ต่างประเทศ หรือที่เรียกว่า ฟลูโรนา (Flurona) ว่า ขณะนี้ยังไม่มีนัยสำคัญอะไรที่ทำให้ต้องวิตกกังวล และจากการเฝ้าระวังในประเทศไทย ยังไม่พบผู้ติดเชื้อดังกล่าว
นพ.ศุภกิจกล่าวว่า ฟลูโรนาเป็นชื่อที่มาจากฟลู คือไข้หวัดใหญ่ และโคโรนา คือโควิด-19 เชื้อทั้งสองเป็นไวรัสทั้งคู่ แต่เป็นไวรัสคนละตระกูลกัน และทั้งสองตระกูลทำให้เกิดอาการคล้ายๆ กัน คือมีอาการทางเดินหายใจ เช่น เป็นหวัด คัดจมูก อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามตัว ทั้งนี้ ในกรณีคนที่มีอาการรุนแรงจะทำให้เกิด ปอดอักเสบ และอาจเสียชีวิตจากระบบทางเดินหายใจล้มเหลว หรืออวัยวะต่างๆ ล้มเหลว อาการของฟลูโรนาเท่าที่มีการรายงานในปัจจุบัน ยังไม่มีอะไรแตกต่างจากโควิด-19 ทั่วไป โอกาสติดเชื้อทั้ง 2 ตัว พร้อมกันค่อนข้างน้อย จำนวนผู้ป่วยที่พบยังมีจำนวนน้อย ขณะนี้มีข้อมูลรายงานการตรวจพบในอิสราเอล บราซิล ฮังการี ฟิลิปปินส์
“การที่คนหนึ่งคนติดเชื้อสองอย่างโดยบังเอิญในเวลาเดียวกัน มีความเป็นไปได้ (Mixed Infection) แต่จะผสมพันธุ์กันจนเกิดเป็นไฮบริดไม่ได้ จึงไม่ต้องวิตกกังวล แต่สิ่งที่ควรรู้ คือทั้งเชื้อไข้หวัดใหญ่ และเชื้อโควิด-19 แพร่กระจายจากทางเดินหายใจในลักษณะที่เป็นฝอยละอองเหมือนกัน เพราะฉะนั้น การสวมหน้ากาก ล้างมือ รักษาระยะห่าง สามารถป้องกันทั้งสองโรคในเวลาเดียวกัน
“และถ้าจะสร้างภูมิคุ้มกันให้เกิดความปลอดภัยมากขึ้นควรฉีดวัคซีน สำหรับวัคซีนไข้หวัดใหญ่แนะนำให้ฉีดในกลุ่มปราะบาง ได้แก่ ผู้สูงอายุ กลุ่มผู้ป่วย 7 โรคเรื้อรัง ซึ่งขณะนี้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้เตรียมวัคซีนไข้หวัดใหญ่ประมาณ 6 ล้านโดส ให้กลุ่มเหล่านี้ ในขณะที่วัคซีนโควิด-19 จะฉีดให้ครอบคลุมคนในประเทศทั้งหมด” นพ.ศุภกิจกล่าว
อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์ฯกล่าวอีกว่า สำหรับการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ควรเว้นระยะจากวัคซีนโควิด-19 ห่างกัน 1-2 สัปดาห์ เพราะหากฉีดพร้อมกันสองอย่างอาจจะทำให้มีไข้ ปวดเมื่อยมากเกินไป และเมื่อเกิดอาการข้างเคียงก็จะไม่รู้ว่ามาจากวัคซีนตัวใด เพราะฉะนั้นถ้าฉีดวัคซีนโควิด-19 ผ่านไป 1-2 สัปดาห์ หากไม่มีอาการอะไรก็ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ต่อได้