Deepseek-NVDA มวยคนละรุ่น?

#Deepseek #ทันหุ้น - บทวิเคราะห์ โดย บล.เอเซียพลัสระบุว่า Cantor Fitzgerald มอง DeepSeek V3 เป็นแรงผลักดันต่ออุตสาหกรรม AI และ Nvidia (NVDA US)
- การเปิดตัว DeepSeek V3 ซึ่งเป็นโมเดลภาษาใหญ่ (LLM) ที่พัฒนาโดยสตาร์ทอัพ AI ของจีนในเดือนธันวาคม 2567 ได้รับการชื่นชมว่าเป็นก้าวสำคัญต่ออุตสาหกรรม AI โดย Cantor Fitzgerald มองว่าเหตุการณ์นี้ไม่ได้ส่งสัญญาณถึงจุดสูงสุดของการใช้จ่ายด้าน GPU (Peak Spending) แต่กลับเป็นแรงผลักดันที่ช่วยเพิ่มความต้องการด้านประสิทธิภาพการประมวลผล (Compute Power) อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นข่าวดีสำหรับบริษัท Nvidia
DeepSeek V3 ได้รับความสนใจจากวงการเทคโนโลยี เนื่องจากประสิทธิภาพของโมเดลเทียบเคียงกับ GPT-4 ของ OpenAI และ Llama 3.1 ของ Meta (META US) ด้วยต้นทุนการฝึกโมเดลที่รายงานไว้ที่ประมาณ $5.57 ล้าน โดยใช้ GPU รุ่น A100 กว่า 10,000 ตัว อย่างไรก็ตาม ยังมีความไม่ชัดเจนในข้อมูลบางแหล่งที่อ้างถึงการใช้ 50,000 Hopper GPUs ซึ่ง Cantor เรียกร้องให้มีความโปร่งใสมากขึ้น
Cantor ระบุว่า DeepSeek V3 ไม่เพียงแสดงถึงความก้าวหน้าใน AI Open-Source แต่ยังสะท้อนถึงความต้องการ Compute Power ที่จะเพิ่มขึ้นในกระบวนการฝึกและใช้งานโมเดล AI ตั้งแต่ Pre-Training, Post-Training ไปจนถึง Inference ความก้าวหน้านี้สอดคล้องกับ Jevons Paradox ซึ่งชี้ว่าความก้าวหน้าด้านประสิทธิภาพจะนำไปสู่การใช้งานที่เพิ่มขึ้น Cantor เชื่อว่า Nvidia ยังคงมีบทบาทสำคัญในฐานะผู้นำด้าน GPU และโครงสร้างพื้นฐาน AI และยังเป็นหุ้นที่น่าซื้อในช่วงที่ราคาปรับฐาน
นอกจากนี้ ความก้าวหน้าของ DeepSeek V3 ยังถูกมองว่าเป็นก้าวสำคัญต่อการพัฒนา Artificial General Intelligence (AGI) ซึ่งเป็น AI ที่สามารถทำงานได้เหมือนมนุษย์ในหลากหลายบริบท ความต้องการด้าน Compute Power จากการพัฒนา AGI จะยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลดีต่อบริษัทที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐาน AI เช่น Hyperscalers และผู้ให้บริการ Cloud
Wedbush มอง DeepSeek ไม่ใช่ภัยคุกคามต่อการครองตลาด AI ของสหรัฐฯ
นักวิเคราะห์ Dan Ives จาก Wedbush ได้แสดงความมั่นใจว่า DeepSeek สตาร์ทอัพ AI จากจีน แม้จะได้รับความสนใจจาก การเปิดตัวโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) แบบ Open Source ล่าสุด แต่ยังไม่สามารถท้าทายความเป็นผู้นำของบริษัท เทคโนโลยีสหรัฐฯ ได้
Wedbush ย้ำว่าการขายหุ้นเทคโนโลยีในช่วงที่ผ่านมา เป็น “โอกาสทองในการซื้อ” โดยเฉพาะในหุ้นของ บริษัท AI ชั้นนำ เช่น Nvidia (NVDA US), Microsoft (MSFT US) และ Alphabet (GOOGL US)
DeepSeek เปิดตัวโมเดล LLM ใหม่ที่สามารถเทียบเคียงกับ ChatGPT ของ OpenAI และ Llama 3.1 ของ Meta โดยโมเดล ดังกล่าวได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นแอปยอดนิยมบน App Store อย่างไรก็ตาม DeepSeek ต้องพัฒนาผลิตภัณฑ์ภายใต้ข้อจำกัดด้านเทคโนโลยี เนื่องจากมาตรการควบคุมการส่งออกชิปของสหรัฐฯ
Ives ระบุว่า แม้ DeepSeek จะสร้างความประทับใจในเชิงเทคนิค แต่ไม่มีโครงสร้างพื้นฐานหรือระบบนิเวศ (Ecosystem) ที่เพียงพอจะเทียบกับบริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯ อย่าง Nvidia, Microsoft หรือ Alphabet โดยบริษัทเหล่านี้กำลังมุ่งพัฒนาสู่ Artificial General Intelligence (AGI) ด้วยทรัพยากรและโครงสร้างพื้นฐานที่เหนือกว่าอย่างชัดเจน
นอกจากนี้ Wedbush ยังชี้ว่าบริษัท Global 2000 ในสหรัฐฯ ไม่น่าจะพิจารณาใช้ DeepSeek เป็นพื้นฐานโครงสร้าง AI ของตนเอง แต่ความก้าวหน้าของ DeepSeek อาจกระตุ้นให้บริษัท Hyperscalers ในสหรัฐฯ เพิ่มการใช้จ่ายในโครงสร้างพื้นฐาน AI เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำในตลาด
Wedbush คาดการณ์ว่าความต้องการ AI ในระดับองค์กร เช่น หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ จะกระตุ้นการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐาน (CapEx) รวมมูลค่ากว่า $2 ล้านล้าน ภายใน 3 ปีข้างหน้า โดย Nvidia, Microsoft และ Alphabet ยังคงเป็นผู้นำใน ตลาด AI ด้วยความได้เปรียบด้านทรัพยากรและเทคโนโลยี
Citi ยังคงแนะนำ "ซื้อ" หุ้น Nvidia (NVDA US) พร้อมตั้งเป้าหมายราคาไว้ที่ $175 โดยเน้นย้ำถึงศักยภาพและความได้เปรียบในตลาดชิปประมวลผลขั้นสูง (Advanced GPUs) แม้จะเผชิญกับความก้าวหน้าของคู่แข่งจากจีนอย่าง DeepSeek ที่ กำลังพัฒนาเทคโนโลยีด้าน AI อย่างรวดเร็ว
DeepSeek ได้เปิดตัวโมเดล AI (LLM) รุ่น R1 ซึ่งอ้างว่าใช้ต้นทุนการประมวลผลต่ำกว่าเทคโนโลยีคู่แข่งในสหรัฐฯ แต่ยังคงรักษาประสิทธิภาพที่สูงไว้ได้ อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์จาก Citi มองว่า แม้ DeepSeek จะมีความก้าวหน้าในเทคนิคการพัฒนา เช่น Distillation Technique แต่ความสำเร็จดังกล่าวอาจไม่ได้มาจากการลดการใช้ชิปขั้นสูงโดยสิ้นเชิง
Citi ตั้งข้อสังเกต ว่า DeepSeek อาจยังพึ่งพา GPU ที่มีศักยภาพสูงในการปรับแต่งโมเดล (Fine-Tuning) ซึ่งไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดอย่างชัดเจน ในทางกลับกัน Nvidia ยังคงเป็นผู้นำในด้านเทคโนโลยีฮาร์ดแวร์ขั้นสูงสำหรับ AI โดยเฉพาะในตลาดที่การส่งออกเทคโนโลยีถูกควบคุมอย่างเข้มงวด
Citi ระบุว่าบริษัท AI ชั้นนำในสหรัฐฯ ยังคงเลือกใช้ชิปประมวลผลของ NVIDIA เนื่องจากประสิทธิภาพที่เหนือกว่าและความคุ้มค่าต่อ TFLOPs นอกจากนี้ การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน AI (AI CapEx) ในโครงการสำคัญ เช่น Stargate ยังคงแสดงถึงความต้องการ GPU ขั้นสูงที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
Citi ยังเน้นว่าความต้องการชิปที่มีประสิทธิภาพสูงในตลาด AI ยังคงเติบโตโดยบริษัทชั้นนำไม่น่าจะเปลี่ยนไปใช้เทคโนโลยีที่ด้อยประสิทธิภาพกว่า ด้วยเหตุนี้ NVIDIA จึงยังคงรักษาความได้เปรียบและความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมนี้ไว้ได้ในภาพรวม
แม้เทคโนโลยีจาก DeepSeek จะสร้างความท้าทาย แต่ NVIDIA ยังคงมีจุดแข็งในด้านการพัฒนาชิปขั้นสูงและการส่งมอบประสิทธิภาพที่คุ้มค่า นักวิเคราะห์ของ Citi มองว่า NVIDIA ยังคงเป็นตัวเลือกที่สำคัญสำหรับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนจากการเติบโตของตลาด AI ที่ยังคงแข็งแกร่งในระยะยาว