ศบค. ประกาศห้ามชุมนุมทุกพื้นที่ทั้งประเทศ ย้ำ เพื่อป้องกันโรค
วันนี้ (26 ธันวาคม) ที่ ทำเนียบรัฐบาล นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019(โควิด-19)(ศบค.) รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ในประเทศไทย
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ที่ประชุม ศบค. มีการกล่าวถึงเรื่องที่ได้ประกาศออกในราชกิจจานุเบกษา คือ การตั้งศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 กระทรวงมหาดไทย(ศปก.มธ.) ขณะเดียวกันตามโครงสร้างของ ศบค. มอบอำนาจให้กับผู้ว่าราชการจังหวัดในการควบคุมพื้นที่ สั่งการปิด-เปิดสถานที่นั้นๆ ซึ่งสอดคล้องกับพระราชบัญญัติ(พรบ.)โรคติดต่อ ที่ให้อำนาจหน้าที่กับผู้ว่าราชการจังหวัด เพื่อบริหารส่วนจังหวัด อย่างไรก็ตามข้อกำหนดของทั้งประเทศขณะนี้คือ ห้ามชุมนุม การทำกิจกรรมหรือมั่วสุม ณ ที่ใดๆ ในสถานที่แออัด หรือกระทำการอันดังกล่าวที่เป็นการยุยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย
“ข้อย่อยของการควบคุมโรคผู้ว่าจะสั่งปิดสั่งเปิด แต่เรื่องห้ามชุมนุมตอนนี้ห้ามทั้งประเทศ เนื่องจากความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายของโรค” นพ.ทวีศิลป์ กล่าว
ส่วนกรณีข้อสงสัยในการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ข้าราชการในทำเนียบรัฐบาล ด้วยชุดตรวจไว(Rapid Test) แต่เมื่อตรวจซ้ำด้วยสารคัดหลั่งในโพรงจมูก(RT-PCR) กลับให้ผลที่ต่างกัน นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ประชาชนให้ความสนใจเนื่องจากทำเนียบรัฐบาลมีความสำคัญต่อประเทศอย่างมากและใกล้ชิดกับผู้บริหารระดับสูงหลายท่าน เมื่อตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วยการเจาะเลือดตรวจหาภูมิคุ้มกันร่างกาย เป็นเพียงภาพสะท้อนแต่ไม่ใช่การตรวจหาเชื้อโดยตรง
“ในการตรวจหาเชื้อโพรงจมูกเป็นการตรวจหาเชื้อโดยตรง แต่ใช้เวลานาน 3 ชั่วโมงและเสียค่าใช้จ่ายสูง ราว 3-4 พันบาท แต่เจาะเลือดค่าใช้จ่ายหลักร้อย ซึ่งทำเนียบมีถึง 800 คน ถ้าตรวจผ่านโพรงจมูกจะต้องใช้ค่าใช้จ่ายมาก แต่การเจาะเลือดไม่ได้ผล 100% เป็นการตรวจทางอ้อม แต่ที่ไม่ใช้การตรวจโพรงจมูกตั้งแต่แรก ก็เพื่อประหยัดงบประมาณ” นพ.ทวีศิลป์ กล่าว
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า เบื้องต้นที่มีข่าวออกไปว่าติดเชื้อ 6 รายเป็นเพียงการตรวจหาภูมิคุ้มกันแต่จะต้องมีการตรวจซ้ำด้วย RT-PCR ที่เป็นมาตรฐาน และผลการตรวจไม่พบเชื้อทุกราย