สิงคโปร์ เตรียมขึ้นภาษีคนรวย-สินค้า และบริการ หลังเผชิญวิกฤตโควิด-19

วันนี้ (21 ก.พ.65) นายลอว์เรนซ์ หว่อง รัฐมนตรีคลังสิงคโปร์ ระบุในการแถลงงบประมาณประจำปี 2565 ว่า เตรียมจะปรับขึ้นภาษีหลายรายการ ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้และนำไปสู่โครงสร้างรายได้ที่ยุติธรรมยิ่งขึ้น โดยสิงคโปร์จะปรับขึ้นภาษีรายได้นิติบุคคลสำหรับผู้มีรายได้สูง เริ่มต้นจากรายได้พึงประเมินภาษีในปี 2567 ซึ่งผู้มีรายได้ระหว่าง 500,000-1 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ จะต้องจ่ายภาษีในอัตราร้อยละ 23 ส่วนผู้มีรายได้สูงกว่า 1 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์จะต้องจ่ายภาษีในอัตราร้อยละ 24 เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่อยู่ที่ร้อยละ 22

ทั้งนี้ ประเมินว่า ในปี 2563 ชาวสิงคโปร์ที่ร่ำรวยที่สุดร้อยละ 1 ของประชากรทั้งหมด ถือครองความมั่งคั่งรวมประมาณร้อยละ 34 ของทั้งประเทศ

นอกจากนี้ ภายในปี 2567 อัตราภาษีสูงสุดสำหรับอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน/บ้านหลังที่ 2 จะทยอยเพิ่มเป็นร้อยละ 36 ของมูลค่าผลตอบแทนจากการเช่ารายปี ซึ่งสูงกว่าในปัจจุบันที่ร้อยละ 20 

อัตราภาษีอสังหาริมทรัพย์ระดับไฮเอนด์เพื่อการอยู่อาศัยที่เจ้าของครอบครองก็จะเพิ่มขึ้นสู่อัตราสูงสุดที่ร้อยละ 32 ภายในปี 2567 จากปัจจุบันที่อยู่ที่ร้อยละ 16 

ขณะเดียวกัน อัตราภาษีสำหรับรถยนต์หรูก็จะเพิ่มขึ้น โดยจะอยู่ที่ 220% ในกรณีที่รถมีมูลค่าตลาดที่เปิด (open market value-OVM) ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายของยานพาหนะที่นำเข้าไปในสิงคโปร์ ได้รับการประเมินจากศุลกากรที่คำนึงถึงราคาซื้อ ค่าขนส่ง ค่าประกัน ค่าจัดส่งและการจัดส่งอื่น ๆ เกินกว่า 80,000 ดอลลาร์สิงคโปร์

สิงคโปร์ยังเตรียมปรับขึ้นภาษีสินค้าและบริการเป็นร้อยละ 8 นับตั้งแต่เดือนมกราคม ปี 2566 และร้อยละ 9 ในปี 2567 จากปัจจุบันที่จัดเก็บร้อยละ 7

ทั้งนี้ สิงคโปร์พยายามหารายได้สำหรับใช้จ่ายในอนาคต ซึ่งคาดว่าจะสูงถึงร้อยละ 20 ของจีดีพี ภายในปี 2573 โดยเฉพาะการใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพในสังคมผู้สูงอายุที่โตสุดแห่งหนึ่ง รวมถึงช่วง 2 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลใช้จ่ายเงินมากกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ในการเยียวยาผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19