เอกชน หวั่นม็อบกระทบภาพลักษณ์ประเทศ แนะรัฐใช้วิธีนุ่มนวลคุมสถานการณ์
นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เปิดถึงสถานการณ์ม็อบต่อเศรษฐกิจไทย ว่า ขณะนี้ ยังไม่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวม แต่เริ่มมีผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศจากสายตาชาวต่างชาติแล้ว เพราะชาวต่างชาติส่วนใหญ่อาจได้รับข้อมูลที่บิดเบือน ซึ่งหากยังไม่มีการพูดคุยที่ชัดเจนอาจผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจระหว่างประเทศ การเปิดประเทศรับนักเดินทาง รวมถึงกระทบต่อการเมืองระหว่างประเทศในทางอ้อมได้ ส่วนผลกระทบทางตรงตอนนี้ยังไม่เกิดขึ้นเนื่องจากไทยยังไม่มีการเปิดประเทศ
นายวิศิษฐ์ กล่าวอีกว่า ส่วนผลกระทบที่เห็นได้อย่างชัดเจนที่สุดในช่วงนี้ คือ ตลาดหุ้นที่มีความเปราะบางสูง เกิดความเคลื่อนไหวแต่ละครั้งกระทบต่อตลาดหุ้นทันที แต่ด้านอื่น โดยเฉพาะด้านการส่งออกยังไม่ได้รับผลจากเหตุการณ์ดังกล่าว แต่คู่ค้าในหลายประเทศเริ่มแสดงความกังวลว่าจากปัญหาการเมืองในประเทศส่งผลให้ไทยยังสามารถผลิตสินค้าเพื่อส่งออกได้ตามปกติ ตนจึงได้ยืนยันและชี้แจงในเบื้องต้นแล้วว่าตอนนี้ทุกอย่างยังดำเนินการได้ตามปกติ
“ขณะนี้ ภาคเอกชนเริ่มมีความกังวลเกี่ยวกับปัญหาทางการเมืองที่เกิดขึ้น เพราะมีแนวโน้มยืดเยื้อ หากการชุมนุมขยายออกไปยาวนานกว่า 1 เดือน อาจส่งผลกระทบต่อตัวเลขเศรษฐกิจของประเทศ (จีดีพี) ซึ่งตอนนี้ยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าสถานการณ์จีดีพีในปี 2563 จะเป็นอย่างไร แต่เชื่อว่าจะต้องมีการประเมินสถานการณ์ใหม่อีกครั้งตามสถานการณ์ประเทศในปัจจุบันแน่นอน ส่วนความกังวลในเรื่องอื่นนอกจากด้านการเมือง คือการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ยังไม่สิ้นสุด ที่ตอนนี้ประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศเริ่มมีความลุกลามมากขึ้นแล้ว ไทยต้องติดตามอย่างใกล้ชิดเพื่อลดผลกระทบเรื่องการค้าที่อาจเกิดขึ้นต่อไป” นายวิศิษฐ์กล่าว
นายวิศิษฐ์ กล่าวว่า สิ่งที่รัฐบาลต้องทำในตอนนี้ คือหาแกนนำมาเจรจากับม็อบประชาชนว่าสามารถทำตามข้อเสนอในเรื่องใดได้บ้าง โดยต้องมีเหตุผลที่ชัดเจน ซึ่งวิธีนี้น่าจะเป็นวิธีที่นุ่มนวลที่สุด อยากให้ทุกฝ่ายมีความอดทนอดกลั้นโดยเฉพาะภาครัฐ หากยังมีการใช้ความรุนแรงในการควบคุมสถานการณ์อาจส่งผลให้สถานการณ์บานปลายได้ ทั้งนี้ ทางภาคเอกชนยังมีความหวังว่าปัญหาทางการเมืองในครั้งนี้จะสามารถเจรจาร่วมกันได้และผ่านไปด้วยดี