รัสเซียส่งอาวุธเลเซอร์รุ่นใหม่ไปใช้ทำลายโดรนจากยูเครน
การรุกรานของรัสเซียในพื้นที่ของยูเครนเข้าสู่วันที่ 85 แล้ว ซึ่งนับตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ (19 พฤษภาคม) อากาศยานไร้คนขับ (Unmanned Aerial Vehicle: UAV) เป็นสิ่งหนึ่งที่กองทัพยูเครนเลือกใช้เป็นอาวุธตั้งแต่ระดับปฏิบัติการจนถึงระดับกลยุทธ์ที่เน้นไปยังการทำลายโครงสร้างของกองทัพ ทำให้กองทัพรัสเซียเพิ่มความพยายามในการกำจัด UAV และโดรนของยูเครนผ่านการติดตั้งและใช้งานระบบอาวุธเลเซอร์ต่อต้านโดรน (Drone-Destroying Laser Weapon) รุ่นใหม่ล่าสุดที่เคยเปิดตัวต้นแบบในปี 2018
ในปี 2018 วลาดิเมียร์ ปูติน (Vladimir Putin) ได้กล่าวถึงตัวต้นแบบอาวุธเลเซอร์ที่มีชื่อเรียกว่า ปีรีเซียต (Peresvet) ซึ่งตั้งชื่อตามนักรบศักดิ์สิทธิ์แห่งนิกายออร์ทอดอกซ์ (Orthodox) จากยุคกลางเพื่อแทนความหมายการกวาดล้างบาป ซึ่งยูรี บอริซอฟ (Yury Borisov) รองนายกรัฐมนตรีผู้รับผิดชอบการพัฒนาอาวุธกล่าวว่า อาวุธต้นแบบชิ้นนี้ได้ถูกนำเข้าไปประจำการและถูกใช้เป็นจำนวนมากเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ตามการกล่าวอ้างของยูรี บอริซอฟ (Yury Borisov) ปีรีเซียต (Peresvet) เป็นอาวุธเลเซอร์ที่สามารถทำลายโดรนที่อยู่ห่างออกไปถึง 5 กิโลเมตรได้ภายในระยะเวลาเพียง 5 วินาทีเท่านั้นจากการทดลองเมื่อวันอังคาร (17 พฤษภาคม) ที่ผ่านมา อีกทั้งยังมีขีดความสามารถในการทำลายอาวุธชนิดอื่นด้วยการยิงเลเซอร์เพื่อเผาทำลายอาวุธจากระยะไกลได้ด้วยเช่นกัน รวมถึงยังสามารถปิดกั้นการทำงานของดาวเทียมซึ่งอยู่สูงจากพื้นโลกกว่า 1,500 กิโลเมตรได้อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม สื่อมวลชนจากฟากฝั่งยุโรปและสหรัฐฯมีข้อกังขาถึงความน่าเชื่อถือของคำกล่าวอ้างจากเครมลิน เพราะหลายครั้งที่การแถลงการณ์หรือการแจ้งข่าวต่าง ๆ ของรัสเซียออกไปในแนวทางการสร้างข่าวชวนเชื่อ (Propaganda) เสียมากกว่า เพราะในปัจจุบัน ยังไม่มีชาติมหาอำนาจใดที่ออกมาประกาศอย่างเป็นทางการว่ามีอาวุธเลเซอร์ที่มีขีดความสามารถถึงขนาดที่จะปิดกั้นการทำงานของดาวเทียมที่โคจรรอบโลกได้ไว้ในครอบครองแต่อย่างใด
หากความสามารถดังกล่าวเป็นเรื่องจริง จะส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อระบบเฝ้าระวังการยิงขีปนาวุธข้ามทวีปที่ทำให้สูญเสียความสามารถในการป้องกันตัวเองของชาติมหาอำนาจได้ อีกทั้งยังเป็นการเปลี่ยนแปลงหน้าประวัติศาสตร์การรบไปโดยสิ้นเชิง ซึ่งยูรี บอริซอฟ (Yuri Borisov) ได้กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า ปีรีเซียต (Peresvet) นั้นไม่ใช่เรื่องฝันกลางวัน แต่เป็นความจริงที่เกิดขึ้นมาแล้ว
ที่มาข้อมูล Reuters
ที่มารูปภาพ กระทรวงกลาโหมสหพันธรัฐรัสเซีย