รีเซต

ฉางซาจัดประชุมสุดยอด 'การท่องเที่ยว' ระดับนานาชาติ

ฉางซาจัดประชุมสุดยอด 'การท่องเที่ยว' ระดับนานาชาติ
Xinhua
12 พฤษภาคม 2566 ( 10:15 )
52
ฉางซาจัดประชุมสุดยอด 'การท่องเที่ยว' ระดับนานาชาติ

ฉางซา, 11 พ.ค. (ซินหัว) -- การประชุมสุดยอดระดับนานาชาติด้านเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและการพัฒนาเมืองท่องเที่ยวทั่วโลกเริ่มต้นขึ้นที่นครฉางซา เมืองเอกของมณฑลหูหนานทางตอนกลางของจีน เมื่อวันพุธ (10 พ.ค.) ที่ผ่านมา ภายใต้เป้าหมายช่วยเหลืออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทั่วโลกในยุคหลังโรคระบาดใหญ่รายงานระบุว่าสหพันธ์เมืองท่องเที่ยวโลก (WTCF) ซึ่งเป็นองค์กรการท่องเที่ยวระหว่างประเทศแห่งแรกของโลกที่มุ่งเน้นเมืองต่างๆ ร่วมกับรัฐบาลเมืองฉางซา จัดการประชุมสุดยอดการท่องเที่ยวฉางซา เซียงซาน แห่งสหพันธ์ฯ (World Tourism Cities Federation Changsha Fragrant Hills Tourism Summit) ปี 2023การประชุมสุดยอดฯ ปีนี้มีหัวข้อ "การรวมจุดแข็งของเมืองเพื่อฟื้นฟูการท่องเที่ยวโลก" ประกอบด้วยการบรรยาย การประชุมพิเศษของเอกอัครราชทูต การเสวนาของนายกเทศมนตรี รายงานการวิจัย การประชุมส่งเสริมการลงทุนด้านการท่องเที่ยว และการจับคู่แบบธุรกิจกับธุรกิจ (B2B)ซือหม่าหง รองนายกเทศมนตรีกรุงปักกิ่งของจีน กล่าวว่าการท่องเที่ยวระหว่างประเทศมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในปีนี้ ดังเห็นได้จากการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศช่วงหยุดยาววันแรงงาน ระยะ 5 วัน (29 เม.ย.-3 พ.ค.) ที่ผ่านมารายงานระบุว่าปริมาณการเดินทางทั่วจีนช่วงหยุดยาววันแรงงานอยู่ที่ 274 ล้านครั้ง และรายได้จากการท่องเที่ยวภายในประเทศสูงถึง 1.48 แสนล้านหยวน (ราว 7.19 แสนล้านบาท) ซึ่งเพิ่มขึ้น 1.2 เท่า เมื่อเทียบปีต่อปี และผลักดันรายได้ของกลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับการบริโภคเพิ่มขึ้นร้อยละ 24.4 เมื่อเทียบปีต่อปีการประชุมสุดยอดฯ ยังเผยแพร่รายงานแนวโน้มเศรษฐกิจการท่องเที่ยวโลก (Report on World Tourism Economy Trends) ปี 2023 และรายงานการพัฒนาที่ยั่งยืนของเมืองท่องเที่ยวโลกในบริบทโรคโควิด-19 : การวิจัยปฏิบัติการของจีน (The Sustainable Development of World Tourism Cities in the COVID Context: the Research on Chinese Actions) ซึ่งใช้ฉางซาและอีก 9 เมืองของจีนเป็นวัตถุประสงค์การวิจัยสหพันธ์ฯ ได้ทำการศึกษาและเผยแพร่ผลวิจัยที่มีส่วนสนับสนุนเชิงบวกต่อความก้าวหน้าที่ดีและการเติบโตที่ยั่งยืนของเศรษฐกิจการท่องเที่ยวโลก โดยสมาชิกสหพันธ์ฯ เพิ่มขึ้นจาก 58 เป็น 238 ราย ครอบคลุม 83 ประเทศและภูมิภาคทั่วโลก

ข่าวที่เกี่ยวข้อง