ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ฉีดวัคซีนโควิด-19 โรคข้ออักเสบและโรคแพ้ภูมิตัวเอง ฉีดวัคซีนอะไรได้บ้าง
ปัจจุบันการฉีดวัคซีนโควิด-19 ได้เน้นกลุ่มเสี่ยงเป็นหลัก ได้แก่ กลุ่มผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป กลุ่มผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว 7 โรค และกลุ่มหญิงตั้งครรภ์ อายุครรภ์ 12 สัปดาห์ขึ้นไป ซึ่งกลุ่มเหล่านี้เป็นกลุ่มเปราะบางที่มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อโควิด-19 ได้ง่าย
โดยเฉพาะผู้ป่วย 7 โรคเรื้อรัง ไม่ว่าจะเป็น โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง, โรคหัวใจและหลอดเลือด, โรคไตวายเรื้อรัง, โรคหลอดเลือดสมอง, โรคอ้วน, โรคมะเร็ง และโรคเบาหวาน แต่โรคข้ออักเสบและโรคแพ้ภูมิตัวเอง ก็เป็นอีกโรคหนึ่งที่สำคัญและต้องได้รับคำแนะนำก่อนฉีดวัคซีนโควิด-19 อย่างถูกต้อง
ผู้ป่วยโรคข้ออักเสบและโรคแพ้ภูมิตัวเอง ต้องเตรียมตัวอย่างไร
1. ผู้ป่วยโรคข้ออักเสบและโรคแพ้ภูมิตัวเองเป็นผู้ป่วยที่มักจะได้รับยากดภูมิคุ้มกัน จึงเป็นกลุ่มเสี่ยงที่เมื่อติดเชื้อโควิด-19 แล้วจะมีอาการรุนแรงมากกว่าประชากรทั่วไป จึงควรได้รับวัคซีนโควิด-19
2. ปัจจุบันยังไม่พบว่ามีข้อห้ามในการให้วัคซีนโควิด-19 สำหรับผู้ป่วยกลุ่มนี้ ยกเว้นในรายที่แพ้ส่วนประกอบของวัคซีน
3. การตอบสนองต่อวัคซีนโควิด-19 ในผู้ป่วยโรคข้ออักเสบและโรคแพ้ภูมิตัวเองที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกันอยู่อาจไม่สูงและยาวนานเหมือนกับประชากรทั่วไป
4. ในทางทฤษฎีผู้ป่วยโรคข้ออักเสบและโรคแพ้ภูมิตัวเองอาจจะมีโอกาสเกิดอาการโรคกำเริบได้ ภายหลังได้รับวัคซีนโควิด-19 แต่ประโยชน์จากการได้รับวัคซีนมากกว่าความเสี่ยงต่อโรคกำเริบ
5. ช่วงเวลาที่เหมาะสมของการฉีดวัคซีน คือ ระยะอาการโรคคงที่ และหากเป็นไปได้แนะนำให้วัคซีนก่อนวางแผนเริ่มการรักษาด้วยยากดภูมิคุ้มกัน หรือในช่วงที่มีการใช้ยากดภูมิคุ้มกันในระดับที่ไม่สูงมากนัก ทั้งนี้ควรเป็นการตัดสินใจร่วมกันระหว่างแพทย์ผู้ดูแลและผู้ป่วย
6. ผู้ป่วยโรคข้ออักเสบและโรคแพ้ภูมิตัวเองมีข้อระวังในการฉีดวัคซีนชนิดเชื้ออ่อนฤทธิ์ (live-attenuated) ซึ่งยังไม่มีในขณะนี้
7.ขณะนี้วัคซีนที่ได้รับ คือ BioNTech/Pfizer สามารถใช้ในเด็ก ตั้งแต่อายุ 12 ปีขึ้นไปได้ โดยกำหนดรับวัคซีน 2 ครั้งตามนัดหมาย
8.ผู้ป่วยเด็กที่ได้รับยากดภูมิสามารถรับวัคซีนได้ตามเกณฑ์อายุ และไม่เป็นข้อห้ามกับยาที่ใช้ โดยเฉพาะแนะนำให้รับวัคซีนไข้หวัดใหญ่เป็นประจำทุกปี (ห่างจากการรับวัคซีนโควิด 2 สัปดาห์)
9.ผู้ปกครอง ญาติหรือผู้ดูแลใกล้ชิดผู้ป่วยควรได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ร่วมด้วยเพื่อเป็นการปกป้องผู้ป่วย "Cocooning effect"
10.ผู้ป่วยเด็กที่ได้รับยากดภูมิอาจพิจารณาปรับยาตามคำแนะนำในเอกสารและควรตัดสินใจร่วมกันระหว่างทีมแพทย์ผู้ดูแลและผู้ป่วย
คำแนะนำ ณ ปัจจุบัน อ้างอิงจากคำแนะนำการให้วัคซีนโควิด-19 ในผู้ป่วยผู้ใหญ่โรคข้ออักเสบและแพ้ภูมิตนเอง
ปัจจุบันยังไม่มีรายงานการศึกษาประสิทธิภาพและความปลอดภัย รวมถึงการกระตุ้นภูมิคุ้มกันของวัคซีนโควิด-19 โดยตรงในผู้ป่วยกลุ่มโรคข้ออักเสบและโรคแพ้ภูมิตัวเอง คำแนะนำการให้วัคซีนโควิด-19 นี้อ้างอิงข้อมูลจากการศึกษาการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันต่อวัคซีนอื่น ๆ ที่พบว่าอาจจะตอบสนองได้น้อยกว่าคนปกติ แต่โดยทั่วไปแล้ววัคซีนสามารถลดอัตราการเสียชีวิตและความรุนแรงของโรคโควิด-19 ได้ จึงแนะนำให้ผู้ป่วยกลุ่มนี้ได้รับวัคซีนโควิด-19
วัคซีนโควิด-19 ที่ฉีดได้
วัคซีนเชื้อตาย = ซิโนแวค (Sinovac) , ซิโนฟาร์ม (Sinopharm)
วัคซีนชนิดไวรัสเวคเตอร์ = แอสตร้าเซนเนก้า (AstraZeneca) , จอห์นสันแอนด์จอนห์นสัน (Johnson & Johnson (Janssen)) , สปุตนิก วี (Sputnik V)
วัคซีนชนิด mRNA = ไฟเซอร์ (Pfizer BioNTech) , โมเดอร์นา (Moderna)
วัคซีนชนิดส่วนประกอบของโปรตีน = โนวาแวกซ์ (Novavax)
ผู้ป่วยที่ได้รับยาดังต่อไปนี้ไม่มีคำแนะนำให้ปรับยา
- Prednisolone*
- Hydroxychloroquine
- IVIG
- Azathioprine
- Sulfasalazine
- Leflunomide
- Cyclophosphamide (oral)
- TNFi; Etanercept, Infliximab,
- Adalimumab
- IL-6R; Tocilizumab
- IL-17; Secukinumab
- Belimumab
ผู้ป่วยที่ได้รับยาดังต่อไปนี้แนะนำให้ปรับยาช่วงรับวัคซีนโควิด-19
Methotrexate / Mycophenolate mofetil / Calcineurin inhibitor (oral)
หลังรับวัคซีนแต่ละครั้งให้หยุดยาเป็นระยะเวลา 1 สัปดาห์
Acetaminophen, NSAIDs
หยุดยา 24 ชั่วโมงก่อนได้รับวัคซีนและไม่มีข้อห้ามในการใช้กรณีมีอาการหลังจากรับวัคซีนแล้ว
Cyclophosphamide (IV)
ให้เลื่อนการรับยา 1 สัปดาห์หลังรับวัคซีนแต่ละครั้ง
กรณีปรับยา rituximab และ / เลื่อนรับวัคซีน
- ควรได้รับวัคซีน 4 สัปดาห์ ก่อน rituximab
- เลื่อนการรับยา rituximab หลังจากได้รับวัคซีนเข็มสุดท้าย 2-4 สัปดาห์
คำแนะนำในการหยุดยาชั่วคราวหรือเลื่อนการให้ยากดภูมิ เนื่องจากสมมติฐานที่ว่าผู้ป่วยมีโรคที่ควบคุมได้ดีเพียงพอที่จะให้หยุดยาชั่วคราวได้ โดยโรคไม่กำเริบ หรือกำเริบไม่รุนแรงจนเกิดอันตรายแก่ผู้ป่วย หากแพทย์พิจารณาแล้วเห็นว่าการหยุดยาอาจทำให้โรคกำเริบจนถึงอันตรายแก่ผู้ป่วย ไม่ควรแนะนำให้หยุดยาหรือเลื่อนยากดภูมิการพิจารณาหยุดยาหรือเลื่อนการให้วัคซีนขึ้นกับดุลยพินิจของแพทย์ผู้ดูแลและการตัดสินใจร่วมกับผู้ป่วยเป็นกรณีๆ ไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระยะโรค จำนวนและขนาดยาที่ใช้ในขณะนั้น
ข้อมูลจาก คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล