รีเซต

“P2P Lending” จับคู่ตรง ผู้ปล่อย-ผู้ขอกู้เงิน วางหุ้นค้ำ-ผู้ปล่อยกู้ได้ดอกเบี้ยสูง

“P2P Lending” จับคู่ตรง ผู้ปล่อย-ผู้ขอกู้เงิน วางหุ้นค้ำ-ผู้ปล่อยกู้ได้ดอกเบี้ยสูง
ทันหุ้น
21 ธันวาคม 2566 ( 12:47 )
49
“P2P Lending” จับคู่ตรง ผู้ปล่อย-ผู้ขอกู้เงิน วางหุ้นค้ำ-ผู้ปล่อยกู้ได้ดอกเบี้ยสูง

#Nestifly #ทันหุ้น- ทำความรู้จัก “StockLend by NestiFly ” แพลตฟอร์ม P2P Lending รายแรกและรายเดียวในไทย

 

ปัจจุบันช่องทางการขอสินเชื่อสามารถกระทำได้จากหลากหลายช่องทางนอกเหนือจากธนาคาร ซึ่งหนึ่งทางเลือกสินเชื่อที่มีความปลอดภัยสูง น่าสนใจคือ Peer-to-Peer Lending Platform หรือ “ P2P Lending ” ซึ่งผ่านการทดสอบใน Regulatory Sandbox ของธนาคารแห่งประเทศไทย โดย “ P2P Lending ” เป็นนวัตกรรมภาคการเงินที่ช่วยจับคู่ผู้ขอสินเชื่อและนักลงทุนผ่านแพลตฟอร์มทางการเงิน โดยผู้ให้บริการที่ผ่านการทดสอบรายแรกและรายเดียวของประเทศไทย ณ ปัจจุบันคือ “ StockLend by NestiFly ” ที่มาพร้อมกับหลักการ #ให้หุ้นเชื่อมทุกโอกาสการลงทุน ซึ่งใช้หุ้นเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน

 

“P2P Lending” และ “StockLend by NestiFly” คืออะไร

P2P Lending หรือ Peer-to-Peer Lending คือ การขอสินเชื่อระหว่างบุคคลกับบุคคลผ่านช่องทางออนไลน์ โดยมีแพลตฟอร์มเป็นตัวกลางทำหน้าที่จับคู่ระหว่างผู้ขอสินเชื่อและนักลงทุนที่มีความต้องการตรงกัน ซึ่งปัจจุบัน “StockLend by NestiFly” เป็นแพลตฟอร์ม P2P Lending เจ้าแรกและเจ้าเดียวในไทยที่ได้รับใบอนุญาตจากกระทรวงการคลัง และอยู่ภายใต้การกำกับของธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นผู้ให้บริการสินเชื่อระยะสั้น ที่ใช้หุ้นที่คัดเลือกแล้ว เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน

 

จุดเด่น “StockLend by NestiFly”

“StockLend by NestiFly” ทำหน้าที่ Matching ความต้องการระหว่างผู้ขอสินเชื่อและนักลงทุนเข้าด้วยกันเกิดเป็นสัญญาสินเชื่อบนระบบอิเล็กทรอนิกส์ มีข้อดีคือ 1) ลดปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการเงิน ให้เข้าถึงบริการทางการเงินที่มีคุณภาพ เหมาะสมผ่านนวัตกรรมทางการเงิน 2) สามารถเคลื่อนย้ายเงินทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยเทคโนโลยีเพื่อลดต้นทุนของตัวกลางทางการเงินเเละสร้างประสบการณ์ที่ดีแก่ลูกค้า และ 3) สร้างมาตรฐานความปลอดภัยเเละโปร่งใส ด้วย Blockchain ผ่านระบบที่ปลอดภัยเเละตรวจสอบได้

 

“ผู้ขอสินเชื่อ” สามารถเข้าถึงกลุ่มบุคคลได้ทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของธุรกิจ ผู้ประกอบการ ฟรีแลนซ์ หรือกลุ่มบุคคลคนทั่วไป ก็สามารถทำธุรกรรมได้ โดยใช้หุ้นเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน โดยต้องถือหุ้นที่อยู่ใน SET และต้องมีพอร์ตหุ้นกับ บล.ลิเบอเรเตอร์ (Liberator)

 

“นักลงทุน” NestiFly ถือเป็นทางเลือกการลงทุนที่ดีมากทางหนึ่ง ซึ่งมีผลตอบแทนสูงกว่าการฝากเงินกับธนาคาร โดยเป็นการลงทุนระยะสั้นที่กระจายความเสี่ยงได้ โดยนักลงทุนเองไม่จำเป็นจะต้องมีหุ้น เพียงแค่มีพอร์ตหุ้นกับ บล.ลิเบอเรเตอร์ (Liberator) สำหรับใช้โอนเงิน ซึ่งปัจจุบัน บล.ลิเบอเรเตอร์ทำหน้าที่เป็น Custodian ดูแลหลักทรัพย์ค้ำประกันและธุรกรรมทางการเงินให้กับแพลตฟอร์ม StockLend by NestiFly

 

ทั้งนี้ StockLend by NestiFly มีเเนวทางการบริหารความเสี่ยงสำหรับนักลงทุน คือ คัดเลือกผู้ขอสินเชื่อที่มีเครดิตดี คัดเลือกหุ้นหลักประกันที่มีคุณภาพโดยทำการวิเคราะห์ความผันผวนของราคาหุ้น สภาพคล่อง และพิจารณาการดำเนินงานของบริษัทเพื่อลดความเสี่ยงให้แก่นักลงทุน โดยในแต่ละสินเชื่อมีมาตรการป้องกันความเสี่ยงเพื่อปกป้องเงินต้นของนักลงทุน ซึ่งผู้ขอสินเชื่อจะต้องมี “หุ้น” เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันในมูลค่าที่สูงกว่ามูลค่าสินเชื่อ หรือ มีระดับ LTV ตามที่บริษัทกำหนด โดยมีระดับ LTV สูงสุดที่ 60% กล่าวคือ หากต้องการขอสินเชื่อ 60 บาท ต้องมีหุ้นมูลค่า 100 บาท เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน เป็นต้น

 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง