น้ำตาท่วม! อพยพพลเรือนหลายสิบชีวิตพ้นมารีอูโปล
พลเรือนยูเครนหลายสิบชีวิตได้รับการอพยพออกจากโรงงานเหล็กอะซอฟสตาลในเมืองมารีอูโปล ไปยังดินแดนของยูเครนและดินแดนรัสเซียอย่างปลอดภัย หลังอาศัยโรงงานแห่งนี้เป็นที่หลบภัยจากการปิดล้อมของรัสเซียมานานหลายสัปดาห์
โรงงานเหล็กอะซอฟสตาลเป็นที่มั่นสุดท้ายของทหารยูเครนในเมืองมารีอูโปล ซึ่งถูกรัสเซียปิดล้อมและประกาศความสำเร็จในการยึดเมืองไปได้ก่อนหน้านี้ พร้อมกับขีดเส้นตายให้ทหารยูเครนวางอาวุธแลกกับชีวิตของพวกเขาเอง
ทางการรัสเซียระบุว่า มีพลเรือนยูเครนหลายสิบคนเดินทางออกมาจากโรงงานดังกล่าว ไปถึงหมู่บ้านที่อยู่ภายใต้การดูแลของรัสเซียแล้ว
ขณะที่ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ของยูเครน ทวีตว่า คนกลุ่มแรกราว 100 จากมารีอูโปลกำลังเดินทางไปยังเมืองซาปอริซเซีย ที่ยังอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของยูเครนเช่นกัน
“พรุ่งนี้พวกเราจะได้พบกันที่ซาปอริซเซีย ต้องขอบคุณทีมของเรา ขณะนี้พวกเขาอยู่กับสหประชาชาติ และกำลังทำงานเพื่ออพยพพลเรือนอื่นๆ ออกจากโรงงาน”เซเลนสกีระบุ
ด้านสหประชาชาติออกมายืนยันว่า ได้เข้าไปมีส่วนร่วมกับปฎิบัติการอพยพผู้คนออกมาครั้งนี้ โดยทำงานร่วมกับสภากาชาดและกลุ่มต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้ง
อย่างไรก็ดีสหประชาชาติไม่ได้ให้รายละเอียดว่ามีผู้ที่ถูกนำตัวออกมาแล้วเท่าใด และเหลืออีกเท่าใดที่ยังอยู่ในโรงงานแห่งนั้น เนื่องจากเห็นว่าการเผยแพร่รายละเอียดและข้อมูลอาจส่งผลกระทบกับความปลอดภัยในระหว่างปฎิบัติการ
หนึ่งในผู้ที่ได้รับการอพยพออกมายังดินแดนภายใต้การปกครองของรัสเซียบอกกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า “คุณนึกไม่ออกว่าเราผ่านอะไรมาบ้าง มันน่ากลัวมาก ฉันหวาดกลัวตลอดเวลาว่าที่หลบภัยจะต้านไม่อยู่ ทุกครั้งที่บังเกอร์เริ่มสั่น ฉันเหมือนคนบ้า กลัวว่าบังเกอร์จะถล่มลงมา และเราไม่ได้เห็นพระอาทิตย์มานานมากแล้ว”
ปฎิบัติการอพยพพลเรือนกลุ่มแรกออกจากโรงงานเหล็กอะซอฟสตาลเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 30 เมษายน แต่ชะตากรรมของพวกเขายังไม่ชัดเจนนัก กระทั่งมีการให้ข่าวถึงความสำเร็จของการอพยพในวันต่อมา
ด้านกระทรวงกลาโหมรัสเซียระบุว่ามีพลเรือนราว 80 คนที่เดินทางออกจากโรงงานเหล็กดังกล่าวมาอยู่ในหมู่บ้านที่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัสเซียในยูเครน และพวกเขาได้รับยารวมถึงข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นแล้ว
ในแถลงการณ์ที่มีการเผยแพร่ผ่านสื่อของรัสเซียยังบอกด้วยว่า พลเรือนคนใดที่ต้องการเดินทางออกไปยังดินแดนภายใต้การดูแลของยูเครน จะถูกส่งตัวให้กับผู้แทนของสหประชาชาติและคณะกรรมการกาชาดสากลต่อไป