ราคาทองตลาดสหรัฐปรับขึ้น ดอลลาร์ร่วง
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานราคาทองสปอตที่ตลาดสหรัฐปรับขึ้น 13.26 ดอลลาร์ สู่ 1,908.36 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงท้ายตลาดวันอังคาร ในขณะที่ดอลลาร์ร่วงลง และนักลงทุนต้องการเข้าซื้อทองในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย เนื่องจากนักลงทุนกังวลกับความล่าช้าในการประกาศผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ทั้งนี้ ถึงแม้นายโจ ไบเดน ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรคเดโมแครต ได้รับคะแนนนิยมสูงกว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์หากวัดจากผลสำรวจความเห็นประชาชนทั่วสหรัฐ ทั้งสองก็มีคะแนนนิยมสูสีกันมากในรัฐสมรภูมิ ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ที่ปธน.ทรัมป์อาจจะได้คะแนนโหวตมากถึง 270 เสียงจากคณะผู้เลือกตั้งในแต่ละรัฐ และปธน.ทรัมป์อาจจะกลายเป็นผู้ที่ชนะการเลือกตั้งได้เช่นกัน
ราคาสัญญาทองล่วงหน้าปิดตลาดปรับขึ้น 0.9% สู่ 1,910.40 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทางด้านราคาโลหะเงินในตลาดสปอตปิดปรับขึ้น 0.127 ดอลลาร์ สู่ 24.165 ดอลลาร์/ออนซ์ ส่วนราคาพลาตินั่มในตลาดสปอตปิดปรับขึ้น 8.12 ดอลลาร์ สู่ 866.61 ดอลลาร์/ออนซ์ และราคาพัลลาเดียมในตลาดสปอตปิดพุ่งขึ้น 71.04 ดอลลาร์ หรือ 3.21% สู่ 2,282.71 ดอลลาร์/ออนซ์
นายเจฟฟรีซ์ ซิกา ผู้ก่อตั้งบริษัทเซอร์เคิล สแควร์ด อัลเทอร์เนทีฟ อินเวสท์เมนท์กล่าวว่า “ปัจจัยสำคัญที่หนุนราคาทองให้พุ่งขึ้นคือความเป็นไปได้อย่างมากที่ว่า จะเกิดความปั่นป่วนวุ่นวายในการเลือกตั้งในสหรัฐ ในขณะที่มีการคาดการณ์กันว่าเราจะยังไม่รู้ผลภายในคืนนี้” โดยมีการคาดการณ์กันว่าสหรัฐอาจจะต้องใช้เวลาอีกหลายวันก่อนจะประกาศผล เนื่องจากมีความล่าช้าในการนับคะแนนโหวต
นายซิกากล่าวว่า “ราคาทองอาจจะพุ่งขึ้นเหนือระดับ 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และอาจจะพุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ได้ก่อนที่ประธานาธิบดีจะทำพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง (ในวันที่ 20 ม.ค. 2021)” และเขากล่าวเสริมว่า ราคาทองจะได้รับแรงหนุนส่งเป็นอย่างมาก จนกว่าจะมีการตัดสินว่าใครคือผู้ชนะการเลือกตั้ง และหลังจากนั้นราคาทองก็อาจจะได้รับแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหม่ ทั้งนี้ ราคาทองเคยพุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 2,072.50 ดอลลาร์ในเดือนส.ค.ปีนี้ แต่ราคาทองร่วงลงในช่วงต่อมา เนื่องจากองทุน ETF ปรับลดปริมาณการถือครองทอง
นางโรนา โอ’คอนเนลล์ นักวิเคราะห์ของบริษัทสโตนเอ็กซ์กล่าวว่า “ผลการเลือกตั้งในสหรัฐมีแนวโน้มที่จะส่งผลบวกต่อราคาทอง ในขณะที่ดอลลาร์มีแนวโน้มอ่อนค่าลง, สหรัฐจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหม่, อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับติดลบ และมีแนวโน้มว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเริ่มต้นเข้าซื้อสินทรัพย์ระยะยาว” ทั้งนี้ นักลงทุนจับตาดูการประชุมกำหนดนโยบายของเฟดในวันที่ 4-5 พ.ย.ด้วย