รีเซต

ชวนเข้าใจ “สยามคาบาเรต์” มหรสพเร้าอารมณ์ยามราตรี ความเริงรมย์ที่ “ไม่เกินเลย”

ชวนเข้าใจ “สยามคาบาเรต์” มหรสพเร้าอารมณ์ยามราตรี ความเริงรมย์ที่ “ไม่เกินเลย”
TNN ช่อง16
10 พฤษภาคม 2567 ( 17:53 )
33
ชวนเข้าใจ “สยามคาบาเรต์” มหรสพเร้าอารมณ์ยามราตรี ความเริงรมย์ที่ “ไม่เกินเลย”

หากท่านใดได้รับชม “เดี่ยวสเปเชียล: ซูเปอร์ซอฟต์พาวเวอร์” ของโน้ส อุดม แต้พานิช ในช่วงที่พี่โน้สเล่าประสบการณ์การรับชม “อะโกโก้” เป็นครั้งแรก เมื่อเล่าถึงตอนที่เป็นฉากไคลแมกซ์ “นกบินออกจาก …” เชื่อได้เลยว่า เรา ๆ ต้องรู้สึก “เสียว” ไปไม่น้อยกว่าพี่โน้สอย่างแน่นอน


อะโกโก้ หรือที่เรียกโบราณเสียเล้กน้อยคือ “คาบาเรต์” ที่จริงเป็นที่พูดถึงในสังคมไทยมาช้านาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องในแง่ลบอย่างปัญหาจริยธรรมเสื่อมทราม หรือเรื่องในแง่บวกอย่างการเป็นทรัพยากรซอฟท์พาวเวอร์ที่ต่างชาติรับรู้ว่าเป็นของดีประเทศไทย


แต่ใครเลยจะรู้ ว่าคาบาเรต์นั้น ได้เปลี่ยนแปลงภูมิทรรศน์ทางเศรษฐกิจสังคมของไทยอย่างน้อย 2 ประการ นั่นคือ การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตยามค่ำคืน และเปลี่ยนแปลงวิถีแห่งการเริงรมย์ อย่างไม่น่าเชื่อ


สิ่งดังกล่าวเป็นอย่างไร ติดตามได้ ณ บัดนี้


นงคราญสะท้านทรวง


ก่อนหน้านั้น การเริงรมย์ส่วนใหญ่ในสยาม มักเป็นแบบขั้นสุด อย่างการค้าประเวณี ที่จะมีการทำกิจกรรมบางอย่าง จึงจะถือว่าเริงรมย์อย่างเสร็จสิ้น ตรงนี้ การที่สตรีจะเข้ามาประกอบอาชีพดังกล่าว ต้องยอมรับว่า “เปลืองตน” อย่างมาก ทั้งยังเป็นที่ติฉินนินทา และสังคมรังเกียจ ไปเสียด้วย ดังนั้น จึงต้องมีการเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมในระดับหนึ่งทีเดียว


กระนั้น เมื่อกิจการไฟฟ้าเข้ามาในสยาม ราวพุทธทศวรรษ 2430 ได้เกิดวิถีชีวิตยามค่ำคืนในแบบใหม่ ๆ มากยิ่งขึ้น หนึ่งในนั้นคือ “โรงมหรสพ” ที่เปิดให้บริการพร้อม แสง สี เสียง ตระการตา ชนิดที่ตอนกลางวันไม่สามารถทำได้ เพราะสว่างเกินไป และร้อนตับแล่บ


ในช่วงแรก มหรสพที่แสดงมักเป็นการนำละครโอเปราจากตะวันตกมาประพันธ์ให้เป็นเนื้อความสยาม หรือไม่ก็เป็นการบริการ “สตรีลีลาศ” ตามโรงแรมต่าง ๆ สำหรับให้บุรุษมาผ่อนคลายด้วยการโชว์สเต็ปบนฟลอร์เฟื่องฟ้า


แต่นั่น ยังไม่ถือว่า “สาแก่ใจ” ของบรรดาหนุ่มนักท่องราตรี ที่ต้องการอะไรมากกว่าการเต้น ๆ และได้สัมผัสกายเนื้อของสตรี แต่ไม่ได้อยากที่จะเกินเลยถึงขั้นมีสัมพันธ์กัน ด้วยมาจากอารมณืหรือค่าบริการที่อีกระดับหนึ่ง


ดังนั้น จึงเกิดการคิดค้นสิ่งใหม่ ๆ ของผู้ให้บริการประเภทดังกล่าว ซึ่งมาลงเอยที่ “การเต้นยั่วยวน” ในที่สุด


จากหลักฐานและบันทึกความทรงจำทางประวัติศาสตร์ พบว่า โรงฮอลล์ที่สุรวงศ์ หรือไม่ก็ตึกเก้าชั้นทีี่เยาวราช  เป็นสถานที่แรกในสยามที่ให้บริการการเต้นพิสดารนี้ โดยรูปแบบการให้บริการ จะมีลักษณะของการที่สตรีจะ “นุ่งน้อยห่มน้อย” ยืนเรียงรายให้แขกมาเลือกสรร ก่อนที่จะทำการเปิดแอลกอฮอล์ดื่มกัน และพอได้ที่ เจ้าหล่อนจะทำการเต้นยั่วยวน โดยใช้เรือนร่างเสียดสีไปตามแขนขาของแขก หรือหากแขกต้องการ เจ้าหล่อนก็จะ “เปลือยอก” ให้ได้ชมเป็นขวัญตา


ทั้งนี้ทั้งนั้น สิ่งนี้เป็นการเอ็นเตอร์เทนให้เสพเพียงสายตา หาได้มีการปฏิสัมพันธ์แบบเกินเลยอื่น ๆ ไม่ เว้นเสียแต่ว่า แขกและนางโชว์จะถูกใจกันจริง ๆ ตรงนี้เป็นเรื่องของการพูดคุยกัน บางที อาจเป็นรายได้เสริมของนางโชว์เหล่านั้นอีกทางหนึ่ง


โรงฮอลล์ได้ทำให้การเต้นยั่วยวนโด่งดังในเมืองหลวงอย่างมาก บรรดาโรงแรมต่าง ๆ ของสยาม ได้เปลี่ยนจากการเปิดฟลอร์ลีลาส มาเป็นการเต้นในลักษณะนี้แทนที่ ไม่เว้นแม้แต่ “โรงแรมโอเรียนเต็ล” เลยทีเดียว


กระนั้น การเต้นยั่วยวนในลักษณะนี้ ยังถือว่าได้รับความนิยมน้อยกว่าโรงโสเภณีหรือช็อคการีในโรงบ่อนเบี้ยเป็นอย่างมาก เพราะยังถือว่าเป็นการเสพจากภายนอกเท่านั้น บุรุษยังคงมีความเคยชินที่จะต้องการทำอะไรภายในเป็นที่ตั้ง


แต่เมื่อเข้าสู่พุทธทศวรรษที่ 2480 กลับกลายเป็นอีกเรื่องหนึ่งอย่างไม่น่าเชื่อ 


เต้นนัว ๆ ยั่ว ๆ บด ๆ


พุทธทศวรรษที่ 2480 เป็นช่วงที่สยาม “ประกาศสงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตร” ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แน่นอน ระเบิดลงเป็นว่าเล่น ย่อมหาได้ยากที่จะมีการให้บริการสิ่งเริงรมย์ดังเช่นที่เป็นมา


ท่านจอมพลแปลก พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี ณ ตอนนั้น ได้พยายามที่จะปลอบประโลมประชาชนที่ขวัญผวาจากระเบิดลง ด้วยการส่งเสริมให้เกิดการแสดงมหรสพยามค่ำคืน และแน่นอน การเริงรมย์ย่อมตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 


การเต้นคาบาเรต์นั้นเป็นที่นิยมมาตั้งแต่สมัยหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองสยามใหม่ ๆ แล้ว โดยในปี 2476 ได้เปิดแสดงเป็นครั้งแรกในงานออกร้านที่วัดชนะสงคราม เก็บค่าเข้าชมคนละ 1 บาท สอดคล้องกับที่ปรากฏในหัสนิยายชุด “พล นิกร กิมหงวน” ของ ป.อินทรปาลิต ตอน “ระบำหยาดฟ้า” ซึ่งเนื้อหาของเรื่องเกิดขึ้นในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน โดยกล่าวถึงเจ้ารอด ข้าเก่าของเจ้าคุณประสิทธิ์ ได้ไปประกอบธุรกิจระบำคาบาเรต์ ทั้งเจ้ารอดยังบอกอีกว่า ตนเป็นผู้คิดคำว่า “คาบาเรต์” ขึ้นมา


ดังนั้น คาบาเรต์จึงใช้เรียกการเต้นยั่วยวนในช่วงสงคราม และหลังจากนั้น เมื่อใดที่มีการประกอบกิจการเต้นพิสดาร ก็จะเรียกว่าคาบาเรต์แทบทั้งสิ้น


กระนั้น สาวคาบาเรต์นี้ มักจะต้อนรับแต่ลูกค้าที่เป็นทหารญี่ปุ่น เพราะมีเงินมากกว่าลูกค้าชาวไทย ดังที่ สละ ลิขิตกุล นักเขียนร่วมสมัยดังกล่าว เล่าไว้ว่า


“สมัยสงครามแทบจะพูดได้เลยว่าหาผู้หญิงพวกนี้ไม่ได้เลย ส่วนใหญ่ผู้หญิงพวกนี้จะไปหากินกับทหารญี่ปุ่นเพราะรายได้มันดีกว่า อีกส่วนหนึ่งเขาก็หลบไปอยู่บ้านนอก เราเองถ้าจะได้บ้างก็ประเภทที่มันนัดกับทหารญี่ปุ่นแล้วมานั่งคอย ปรากฏว่าทหารญี่ปุ่นมันไม่มาอะไรทำนองนี้” 


โดยคณะคาบาเรต์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือคณะของ บุญศรี สอนชุ่มเสียง หรือที่นักเที่ยวกลางคืนรู้จักกันในชื่อ “หรั่ง เรืองนาม” นั่นเพราะคาบาเรต์สไตล์“ตาหรั่ง” นั้น มีการ “เล่นฉีก” ไม่เหมือนคาบาเรต์ทั่ว ๆ ไป ดังคำโปรยที่ว่า


“...เชิญมาชมระบำนายหรั่งผู้เรืองนาม ท่านจะรู้สึกตื่นตาตื่นใจ มีเพียงคณะเดียวเท่านั้นที่แสดงอย่างพิศวงงงงวยชมแล้วชุ่มชื่นหัวใจ มีนางสาวทุกวัยคอยต้อนรับท่านเยอะแยะ” 


การแสดงอย่างพิศวงงงงวยที่ตาหรั่งว่า นอกจากสูตรสำเร็จที่จะมีการให้สาว ๆ นักเต้นออกมาใส่กระโปรงวับ ๆ แวม ๆ นุ่งน้อยห่มน้อย ทำท่ายั่ว ๆ บด ๆ บรรดาแขก รับทิปเหน็บไว้ตามร่องเสื้อผ้า ตาหรั่งก็ได้ไปสู่อีกขั้นด้วยการสร้างจุดขาย โดยการให้สาวคาบาเรต์นั้น “เปิดหวอ” โชว์แขก ซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่อย่างมาก เพราะส่วนใหญ่จะไม่เปลืองตนขนาดนี้


เมื่อเต้นยั่วถึงระดับหนึ่งนางโชว์จะทำการเปลื้องผ้าออกทีละชิ้น ๆ ไล่มาตั้งแต่เครื่องประดับตามตัว ผ้าคลุม เสื้อผ้า ชุดชั้นใน จนท้ายที่สุดเจ้าหล่อนก็ล่อนจ้อน เผยเรือนร่างให้ผู้ชมตาลุกวาว เพียงแต่ไม่ได้เปลือยล้วน ๆ มีการใช้ดอกไม้ปิดบัง “ยอดปทุมถัน” และใบตองสดเล็ก ๆ ปิดบัง “นาผืนน้อย” เอาไว้ 


ซึ่งนางโชว์จะเอนกายลงกับเวที เปิดหว่างขากว้างๆ ไม่ก็สลับขาไปมาเป็นฟันปลาให้แขกชมจุดโฟกัสแบบชัด ๆ พียงแต่ไม่ได้เผยหมด เพราะมีการเซฟโดยพอกแป้งหรือดินสอพองหนา ๆ ตรงจุดนั้นไว้ 


แต่ก็ยังถือว่ามีการคืนความสุขให้แก่ลูกค้า เพราะทันทีที่นางโชว์คุกเข่าและโน้มตัวไปข้างหลังให้ "ปีกคู่" ยื่นออกที โน้มตัวไปข้างหน้าให้ "สองปทุม" ยื่นออกที แขกเหรื่อสามารถ “สัมผัส” ได้ตามที่ต้องการ  หรือไม่บางทีตาหรั่งก็สวมวิญญาณขาแดนซ์ร่วมทำการแสดงด้วย โดยการเต้นท่ายื่นหน้าเข้าไปใกล้ “ป่าละเมาะ” ของนางโชว์ แล้วโบกไม้โบกมือรัว ๆ แสดงให้เห็นว่ามีกลิ่นไม่พึงประสงค์โชยออกมาจากจุดนั้น 


แต่ที่เรียกเสียงฮือฮาได้มากที่สุดคือการที่นางระบำหญิงแต่ละคนเปิดหวอของตนแล้วเอามาชนกับของนางระบำอีกคนหนึ่ง เรียกกันสนุก ๆ ว่า “ทำยุทธหัตถี” ซึ่งในภาษาปัจจุบันเขาเรียกกันว่า “ชนฉิ่งตีฉิ่ง” ไปเสียอย่างนั้น 


กระนั้น แม้จะแสดงได้อย่างถึงพริกถึงขิงเช่นนี้ คาบาเรต์ก็ยังคงขนบ ว่าด้วยการไม่มีอะไรเกินเลย เน้นเต้นโชว์อย่างเดียวไว้ได้ดังเช่นในอดีต


หากแต่ในเรื่องของการแสดงนั้น มีการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย ดังที่เห็นได้จากการเกิดขึ้นของ “ปิงปองโชว์” ว่าด้วยการนำลูกปิงปองไปใส่ไว้ใน … และทำการพ่นออกมา หรือแม้แต่การใช้ … เก็บใบมีดโกน และค่อย ๆ ดึงออกมา ไปจนถึงการใช้ลมจาก … ในการสูบบุหรี่


รวมทั้งการปล่อยนกออกจาก … ที่พี่โน้สได้ประสบ ก็เป็นหนึ่งในความเปปลี่ยนแปลงของมหรสพชนิดนี้เช่นเดียวกัน


Exclusive by วิศรุต หล่าสกุล


แหล่งอ้างอิง


  • วิทยานิพนธ์ ชีวิตยามค่ำคืนในกรุงเทพฯ พ.ศ. 2427-2488
  • บทความ “จ้ำบ๊ะ” เมื่อคราวระเบิดลง: ความบันเทิงเชิงกามารมณ์ใน กรุงเทพฯ ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
  • https://www.silpa-mag.com/history/article_65004
  • https://mainstand.co.th/th/features/5/article/3258

ข่าวที่เกี่ยวข้อง