การปลดคนครั้งใหญ่เริ่มชัด เมื่อ AI เข้ามามีบทบาท ในตลาดแรงงานโลก

กระแสการปลดพนักงานที่เริ่มขึ้นในปัจจุบัน คือสัญญาณเตือนของตลาดแรงงานยุคใหม่ เมื่อ AI เข้ามาทำงานแทนในหลายตำแหน่ง อนาคตของการจ้างงานจึงไม่ใช่เรื่องของจำนวนคนอีกต่อไป แต่คือการแข่งขันด้านทักษะอย่างแท้จริง
ปี 2568 ถือเป็นปีที่มี การเลิกจ้างบุคลากรปริมาณมหาศาลทั่วโลก มากที่สุดในรอบหลายปี โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ซึ่งมีการปลดพนักงานรวมกว่า 1.1 ล้านคน ในช่วงเดือน มกราคม–ตุลาคมของปีนี้ ซึ่งเป็นตัวเลขสูงที่สุดตั้งแต่ปี 2563 หลังโควิด-19
โดยกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีมากกว่า 200 แห่ง ทั่วโลกประกาศลดขนาดพนักงานรวมแล้วมากกว่า 112,000 คน โดยเหตุผลหลักมักเป็นการปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อลงทุนด้าน AI, automation และรัดเข็มขัดต้นทุน ปัจจัยเร่งสำคัญ ได้แก่
• การนำ AI และระบบอัตโนมัติ มาใช้แทนแรงงานแบบเดิม
• เศรษฐกิจชะลอตัวและอัตราการใช้จ่ายของผู้บริโภคลดลง
• บริษัทต่างๆ ต้องลดโครงสร้าง องค์กรเพื่อความยืดหยุ่น และการแข่งขันในอนาคต
จากการรมบวมพบว่า บริษัทระดับโลกที่ปลดพนักงานจำนวนมากในปี 2568 ได่แก่ กลุ่มเทคโนโลยี
1.Amazon – ปลดพนักงานราว 14,000–30,000 คน เพื่อลดโครงสร้างองค์กร, ปรับสนับสนุน AI
2.Intel – ปลดพนักงานราว 24,000 คน เพื่อปรับโครงสร้างใหญ่, ตอบโจทย์ยุค AI
3. Microsoft – ปลดพนักงานราว 9,000 คน เพื่อปรับทีมงานหลายฝ่ายเพื่อโฟกัส AI & cloud
4.Accenture – ปลดพนักงานราว 11,000 คน เพื่อเปลี่ยนเป้าหมายธุรกิจสู่ AI
5.Dell Technologies – ปลดพนักงานราว 12,000 คน เพื่อลดขนาดองค์กร, โฟกัสบริการใหม่
6. SAP – ปลดพนักงานราว 10,000 คน เพื่อปรับโครงสร้างสู่คลาวด์และ AI
7.Cisco – ปลดพนักงานราว 4,250 คน เพื่อย้ายทรัพยากรไปยังบริการที่เติบโต
ประกอบกับยังมีบริษัทอื่นๆ ที่ประกาศปลดงาน อาทิ Salesforce, Oracle, Meta (ลดบางทีม), Google (หลายชุดเลย์ออฟ) เพื่อตามกระแสการเปลี่ยนโฟกัสงานและ AI integration เทรนด์นี้ไม่จำกัดเฉพาะเทคโนโลยีแต่ส่งผลถึง ยานยนต์, โลจิสติกส์, ค้าปลีก, สื่อบันเทิง และที่ปรึกษาธุรกิจอีกด้วย
ขณะที่สถานการณ์การปลดคนและแรงงานในไทยปี 2568 ซึ่งเจอผลกระทบทางอ้อมจากแนวโน้มโลก ถึงแม้ยังไม่เห็นการประกาศปลดพนักงานขนาดใหญ่จากบริษัทไทยระดับยักษ์อย่างเดียวกันแบบ global แต่มีแนวโน้มที่องค์กรไทย เพิ่มการจัดรูปแบบการจ้างงานใหม่ (เช่น contract/part-time) และเลิกจ้างบางส่วน จากสภาพเศรษฐกิจชะลอและความไม่แน่นอนของตลาดแรงงานไทย
โดยผลสำรวจพบว่า 25% ขององค์กรไทยมีแนวโน้มลดพนักงานลง ตั้งแต่กลางปี 2568 โดยการปรับการจ้างงานและตัดต้นทุนเป็นสิ่งที่หลายบริษัทกำลังพิจารณา ซึ่งในไทยยังมีการจัดโครงการเกษียณก่อนกำหนดบางแห่ง เช่น ธนาคารกสิกรไทย เปิดตัวโปรแกรม “เกษียณก่อน เกษมสุข” เพื่อปรับโครงสร้างและช่วยให้พนักงานได้ปรับตัวเองสู่โอกาสใหม่ นอกจากนี้แม้จะไม่มีตัวเลขยักษ์เท่าต่างประเทศ แต่ การเปลี่ยนรูปแบบงานและการลดเวลาทำงาน/อัตราค่าจ้าง สะท้อนสภาพแรงงานที่เปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนในไทยปีนี้เช่นเดียวกัน
แนวโน้มในอนาคต "การปลดคนและแรงงานในไทย" คาดว่าจะมากจาก 3 ปัยจัยหลักๆ
1.การปลดคนไม่ได้หมายความถึงหมดโอกาส แต่แสดงว่า ตลาดแรงงานกำลังเปลี่ยนโฟกัสไปยังทักษะที่ AI ไม่สามารถทดแทนได้
2.อุตสาหกรรมที่เติบโตต่อไปได้มักเกี่ยวข้องกับ AI, data analytics, cybersecurity, automation, healthcare และงานระดับทักษะสูง
3. ในไทยมีแนวโน้มการเพิ่มสวัสดิการว่างงาน และการสนับสนุนการปรับตัวของแรงงานอย่างต่อเนื่อง เช่น การเพิ่มสิทธิประโยชน์ของผู้ประกันตนเพื่อบรรเทาผลกระทบจากการเลิกจ้าง
อย่างไรก็ดี การปลดคนงานครั้งใหญ่ในยุคปัญญาประดิษฐ์ ไม่ได้เป็นเพียงการลดต้นทุนขององค์กร แต่คือสัญญาณการเปลี่ยนผ่านเชิงโครงสร้างของตลาดแรงงานโลก เมื่อ AI เข้ามาทำงานแทนในบทบาทที่รวดเร็ว แม่นยำ และต้นทุนต่ำกว่า องค์กรจึงจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด ขณะที่แรงงานเองก็ต้องเผชิญความจริงใหม่ว่า “ความมั่นคง” ไม่ได้ผูกติดกับตำแหน่งงานอีกต่อไป แต่ผูกกับความสามารถในการเรียนรู้และปรับตัวอย่างต่อเนื่อง บททดสอบสำคัญจากนี้ ไม่ใช่เพียงว่า AI จะเก่งแค่ไหน แต่คือสังคมและแรงงานมนุษย์จะก้าวทันการเปลี่ยนแปลงนี้ได้เร็วเพียงใด
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
