รีเซต

'ศุภชัย' ชี้ทางรอด ชู 6T Thailand Transformation ยุทธศาสตร์ใหม่สู่ความมั่นคงเศรษฐกิจไทย

'ศุภชัย' ชี้ทางรอด ชู 6T Thailand Transformation ยุทธศาสตร์ใหม่สู่ความมั่นคงเศรษฐกิจไทย
TNN ช่อง16
8 กันยายน 2568 ( 12:18 )
21

งานสัมมนา Transforming Thailand ซึ่งจัดขึ้นโดย TNN 16 เนื่องในโอกาสครบรอบ 18 ปี ได้เปิดเวทีใหญ่เพื่อสะท้อนภาพการเปลี่ยนผ่านทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยในทศวรรษใหม่ โดยมี คุณศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ Thailand New Economy โอกาสไทยสู่เศรษฐกิจใหม่ ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยผู้แทนจากภาครัฐ ภาคเอกชน  และสื่อมวลชน

ช่วงต้นของเวที คุณศุภชัย อธิบายโลกยุคใหม่ผ่านกรอบ 3D ที่กำลังกำหนดกติกาเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมทั่วโลก 

D แรกคือ Digitalization และ AI เมื่อพลังประมวลผลยุคจีพียูประกอบกับแบบจำลองภาษาขนาดใหญ่ทำให้ข้อมูลและองค์ความรู้เชื่อมถึงกันรวดเร็ว องค์กรและประเทศที่เปลี่ยนผ่านไม่ทันจะเสียความสามารถในการแข่งขัน 

D ที่ 2 คือ Deglobalization หรือการขยับจากระบบโลกขั้วเดียวไปสู่หลายขั้ว การแข่งขันไม่ได้อยู่เพียงมิติการค้า แต่ลุกลามไปถึงไซเบอร์ อวกาศ และอุตสาหกรรมเอไอ ประเทศขนาดกลางในเอเชียต้องวางตำแหน่งของตนเองให้ชัดเจนและยืดหยุ่น 

D ที่ 3 คือ Decarbonization ภาวะโลกร้อนเพิ่มขึ้นทุก 1 องศาเปลี่ยนสมดุลนิเวศ ผลิตภาพ และต้นทุนเศรษฐกิจอย่างมีนัย หากไม่เร่งลดคาร์บอน ปัญหาน้ำทะเลหนุน น้ำท่วม และฝุ่นพิษจะยิ่งกดทับคุณภาพชีวิต

จากภาพใหญ่ของเศรษฐกิจโลก ปาฐกถาพิเศษได้ชี้ให้เห็นว่า การสร้าง ความเท่าเทียมใหม่ (New Equality) ต้องตั้งอยู่บน 4 ความจำเป็นหลัก

1. การเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ

คุณศุภชัยอธิบายว่า ประเทศที่สามารถสร้างการเติบโตยั่งยืน เช่น สิงคโปร์ เกาหลีใต้ และกลุ่มสแกนดิเนเวีย ล้วนยกระดับคุณภาพการศึกษาให้เสมอภาคทั้งระบบ ไม่ว่าจะเรียนที่โรงเรียนในเมืองหรือชนบท ทุกคนได้รับมาตรฐานเดียวกัน ผลลัพธ์คือเด็กทุกคนมีศักยภาพแข่งขันในระดับโลกได้ ประเทศไทยจึงจำเป็นต้องปรับโครงสร้างการศึกษาเพื่อให้ครูเป็นผู้ออกแบบการเรียนรู้ ใช้เทคโนโลยีและเอไอเป็นเครื่องมือเสริม และเปิดโอกาสให้เด็กทุกคนเข้าถึงอินเทอร์เน็ตและคอมพิวเตอร์อย่างแท้จริง

2. การเข้าถึงแหล่งทุนที่ยืดหยุ่นและเป็นธรรม

ในปัจจุบัน คนไทยกว่า 70% ยังอยู่นอกระบบการเงิน (underbanked และ underserved) ซึ่งทำให้ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อหรือการสนับสนุนทางการเงินได้อย่างเท่าเทียม ปาฐกถาชี้ว่า หากไม่มีการสร้างระบบดิจิทัลไอดีและระบบการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ที่โปร่งใส เศรษฐกิจนอกระบบจะยังคงเติบโต และประชาชนจำนวนมากจะถูกตัดโอกาสในการสร้างธุรกิจและยกระดับคุณภาพชีวิต

3. การเข้าถึงเทคโนโลยีและเอไอที่มีธรรมาภิบาล

ความก้าวหน้าของเอไอและดิจิทัลกำลังเปลี่ยนโฉมเศรษฐกิจโลก แต่ความท้าทายคือการสร้างระบบที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ และไม่ถูกผูกขาดโดยกลุ่มทุนเพียงไม่กี่ราย หากไทยสามารถวางกติกาเพื่อให้ทุกภาคส่วนเข้าถึงเอไอและเทคโนโลยีได้อย่างเป็นธรรม จะช่วยเพิ่มศักยภาพทั้งเศรษฐกิจและสังคม

4. การเข้าถึงระบบประกันชีวิต สุขภาพ และอุบัติเหตุ

แม้ไทยจะมีระบบประกันสังคม แต่ก็ยังไม่ครอบคลุมและเพียงพอ โดยเฉพาะประชากรกลุ่มนอกระบบ การสร้างระบบประกันที่เข้าถึงได้ทุกคนจึงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากโรคภัย อุบัติเหตุ หรือความไม่แน่นอนในชีวิต การมีหลักประกันที่มั่นคงคือรากฐานของสังคมที่มีความมั่นใจและพร้อมลงทุนในอนาคต

การบรรลุทั้ง 4 ความจำเป็นนี้เชื่อมโยงโดยตรงกับโครงสร้างพื้นฐานใหม่ ไม่ว่าจะเป็น ดิจิทัลไอดี ระบบการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ และกติกาที่โปร่งใส ซึ่งจะเปิดประตูให้ประชาชนเข้าถึงทุน โอกาส และสวัสดิการ พร้อมต่อยอดไปสู่การสร้างความเท่าเทียมเชิงเศรษฐกิจและสังคมในระยะยาว

คุณศุภชัย นำเสนอแผนภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ทำให้เห็นสัดส่วนอย่างชัดเจน ปีนี้เศรษฐกิจโลกขยายตัวราว 3% ลดลงจาก 3.3% ในปีก่อน เศรษฐกิจจีนชะลอตัวจาก 5% เหลือ 4.8% ค่าเฉลี่ยของอาเซียนอยู่ที่ 4.1% ส่วนประเทศไทยกลับขยายตัวเพียงใกล้ 2% และยังมีสมมติฐานว่าในปี 2026 อาจลดลงเหลือเพียง 1.7% ตัวเลขดังกล่าวบ่งชี้ว่าหากไทยยังพึ่งพามาตรการกระตุ้นชั่วคราวเพียงอย่างเดียว ย่อมเสี่ยงต่อการสูญเสียโอกาสท่ามกลางภูมิภาคที่ยังเติบโตอย่างแข็งแรง


ด้วยเหตุนี้ ปาฐกถาจึงย้ำว่าคำตอบของไทยไม่ใช่การแก้ปัญหาระยะสั้น แต่คือการ ยกเครื่องเชิงโครงสร้าง ผ่านกรอบ 6T Thailand Transformation ซึ่งทำหน้าที่เป็นเข็มทิศในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ตั้งแต่การใช้ Soft Power ดึงดูดรายได้ การยกระดับห่วงโซ่อาหารและสุขภาพ การเสริมบทบาทในโลจิสติกส์และการเงิน การพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูง การลงทุนกับทุนมนุษย์ ไปจนถึงการสร้างพลังงานสะอาดที่มั่นคง หากทั้งหกด้านเดินหน้าไปพร้อมกัน ไทยจะไม่เพียงรักษาความสามารถในการแข่งขัน แต่ยังสามารถก้าวสู่บทบาทศูนย์กลางเศรษฐกิจใหม่ของอาเซียนในอนาคตอันใกล้

Tourism Hub & Soft Power

ประเทศไทยมีทุนทางวัฒนธรรมที่แข็งแกร่ง ตั้งแต่มวยไทย พระเครื่อง อาหาร ดนตรี ภาพยนตร์ และซีรีส์ ปาฐกถาเสนอให้ใช้ Soft Power เหล่านี้เป็นเครื่องมือหลักในการสร้างชื่อเสียงประเทศ พร้อมทั้งยกระดับเมืองอัจฉริยะและอุตสาหกรรมคอนเทนต์ เพื่อสร้างรายได้และอิทธิพลในเวทีโลก

Table Hub

ประเทศไทยถูกวางเป้าหมายเป็นศูนย์กลางด้านอาหารและสุขภาพ ผ่านการพัฒนา Smart Farming, Food Tech, Biotech และ Health Tech ควบคู่กับการลงทุนเชิงโครงสร้าง เช่น การปฏิรูประบบน้ำและชลประทาน วงเงินกว่า 400,000 ล้านบาท เพื่อแก้ปัญหาภัยแล้ง น้ำท่วม และยกระดับความมั่นคงทางอาหาร

Trade / Logistics / Financial Hub

ปาฐกถาชี้ให้เห็นโอกาสในการเชื่อมโยงภูมิภาค โดยใช้เครือข่ายรถไฟความเร็วสูงและโครงการ Land Bridge เชื่อมการค้าระหว่างจีน มหาสมุทรอินเดีย และมาเลเซีย กลยุทธ์นี้จะช่วยเพิ่มบทบาทไทยในซัพพลายเชนโลก พร้อมผลักดันการเป็นศูนย์กลางธุรกรรมทางการเงินในภูมิภาค

Tech & Industrial Hub

เพื่อเสริมสร้างอุตสาหกรรมใหม่ ไทยถูกวางให้เป็นจุดหมายการลงทุนด้าน Data Center, Cloud Tech, Robotics, Blockchain และยานยนต์ไฟฟ้า (EV) พร้อมตั้งศูนย์วิจัย Center of Excellence เพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่ และเป้าหมายในการผลักดันสตาร์ทอัพกว่า 20,000 รายเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ

Talent Hub

ระบบการศึกษาจะถูกปรับใหม่ โดย AI และ Computer Science จะกลายเป็นวิชาพื้นฐานสำหรับเด็กทุกคน เพื่อสร้างทักษะที่จำเป็นต่ออนาคต ขณะเดียวกัน ไทยยังตั้งเป้าดึงผู้เชี่ยวชาญระดับโลกจำนวน 4–5 ล้านคน เข้ามาร่วมพัฒนาศักยภาพควบคู่กับแรงงานไทยราว 50 ล้านคน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของเศรษฐกิจ

Transmission (Energy & Sustainability Hub)

ด้านพลังงานถูกยกให้เป็นเงื่อนไขชี้ขาดต่อความสามารถในการแข่งขัน ปาฐกถาเสนอการกระจายแหล่งพลังงานสะอาดจากชีวมวล แบตเตอรี่รุ่นใหม่ พลังน้ำ และเทคโนโลยีนิวเคลียร์ขนาดเล็ก เพื่อสร้างระบบพลังงานที่หลากหลาย มั่นคง และยั่งยืน รองรับทั้งการเติบโตของดาต้าเซ็นเตอร์และอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง

พลังงานสะอาด คนคุณภาพ และกติกาที่โปร่งใส สามขับเคลื่อนหลักที่ไทยต้องเร่งลงทุน

ประเด็นด้านพลังงานถูกย้ำอย่างต่อเนื่องว่าเป็นปัจจัยชี้ขาดต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศ คุณศุภชัยชี้ว่าไทยมีจุดแข็งจากฐานการเกษตรและโซ่อุปทานชีวมวลที่ใหญ่ หากบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพจะสามารถผลิตพลังงานสะอาดได้เพิ่มขึ้น รองรับความต้องการของอุตสาหกรรมยุคใหม่ โดยเฉพาะศูนย์ข้อมูล (Data Center) และโรงงานอิเล็กทรอนิกส์ที่ต้องการไฟฟ้าเสถียรและต่อเนื่อง การนำเทคโนโลยีแบตเตอรี่รุ่นใหม่เข้ามาบริหารจัดการความผันผวนของระบบไฟฟ้าจะช่วยสร้างเสถียรภาพให้กับโครงข่าย ขณะเดียวกันยังควรพิจารณาทางเลือกเพิ่มเติม เช่น การใช้เทคโนโลยีนิวเคลียร์ขนาดเล็กที่ออกแบบเพื่อความปลอดภัยสูง และการเชื่อมโยงไฟฟ้าพลังน้ำจากประเทศเพื่อนบ้านที่มีศักยภาพ เพื่อสร้างพอร์ตพลังงานที่หลากหลาย เชื่อถือได้ และรองรับการเติบโตระยะยาว

นอกจากพลังงานแล้ว นโยบายด้านคนและการศึกษายังเป็นหัวใจสำคัญของการปฏิรูป คุณศุภชัยอธิบายว่า ครูในยุคเอไอควรทำหน้าที่เป็นผู้ออกแบบการเรียนรู้และผู้สังเกตศักยภาพของเด็กเป็นรายบุคคล พร้อมใช้เอไอเป็นผู้ช่วยถ่ายทอดความรู้ เพื่อให้การเรียนการสอนมีความลึกและเข้าถึงได้จริง เด็กทุกคนต้องได้รับโอกาสเข้าถึงคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตอย่างเท่าเทียม วิสัยทัศน์ระยะกลางยังรวมถึงการดึงผู้เชี่ยวชาญทักษะสูงจากต่างประเทศราว 4–5 ล้านคน เข้ามาทำงานร่วมกับแรงงานไทยกว่า 50 ล้านคน เพื่อเสริมฐานภาษี เพิ่มองค์ความรู้ และขยายเครือข่ายนวัตกรรมให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด

ในด้านกติกาภาษีและความโปร่งใส ปาฐกถาระบุว่าอัตราภาษีนิติบุคคลของไทยใกล้เคียงกับประเทศคู่แข่งในภูมิภาค จึงไม่ใช่จุดได้เปรียบหลัก สิ่งที่จะสร้างความแตกต่างคือความคาดเดาได้ของกฎระเบียบ ความสะดวกในการดำเนินงานดิจิทัล ความรวดเร็วของระบบราชการ และคุณภาพของโครงสร้างพื้นฐาน หากสามารถยกระดับในมิติเหล่านี้ได้ครบ จะช่วยชดเชยข้อจำกัดด้านภาษี และดึงดูดการลงทุนคุณภาพสูงเข้าสู่ประเทศไทยได้จริง

ปิดท้ายปาฐกถา คุณศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ ย้ำว่า ในชีวิตมนุษย์สิ่งสำคัญที่สุดคือ ความมั่นคงและความฝัน แต่สิ่งที่ทำให้สองสิ่งนี้เกิดพลังอย่างแท้จริงคือ ความรัก เพราะความรักทำให้เรายอมรับความแตกต่าง และผลักดันให้ทุกชีวิตมีคุณค่าอย่างเท่าเทียม เมื่อความมั่นคง ความฝัน และความรักผสานเข้าด้วยกัน ประเทศจึงสามารถเดินหน้าได้ด้วยความหวังและศักยภาพสู่เศรษฐกิจใหม่ที่ยั่งยืน


มุมมองที่ถูกถ่ายทอดบนเวที ทำให้งานสัมมนาครั้งนี้เสมือนเอกสารเชิงนโยบายฉบับย่อที่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง จุดเริ่มต้นคือการยอมรับความจริงของโลกยุค 3D จากนั้นจึงเดินหน้าภายใต้กรอบ 6T เป็นเข็มทิศสำคัญ พร้อมเร่งลงทุนในพลังงานสะอาด ดิจิทัลไอดี โครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูล ศูนย์นวัตกรรม และระบบการศึกษา หากกลไกเหล่านี้ขับเคลื่อนไปพร้อมกัน ประเทศไทยย่อมมีโอกาสก้าวพ้นข้อจำกัดของเศรษฐกิจต้นทุนต่ำ และก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางด้านคอนเทนต์ ซัพพลายเชน ดาต้า และนวัตกรรมของอาเซียนในอนาคตอันใกล้

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง