รีเซต

UN เตือนแรง “หายนะโลกร้อน” ใกล้ถึง “จุดไม่อาจให้อภัย” หากโลกยังนิ่งเฉยไม่เร่งลดคาร์บอน

UN เตือนแรง “หายนะโลกร้อน” ใกล้ถึง “จุดไม่อาจให้อภัย” หากโลกยังนิ่งเฉยไม่เร่งลดคาร์บอน
TNN ช่อง16
11 พฤศจิกายน 2568 ( 11:30 )
27

“นายไซมอน สตีล” เลขาธิการสหประชาชาติว่าด้วยกรอบอนุสัญญาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) เตือนผู้นำประเทศทั่วโลกอย่างจริงจังในพิธีเปิดการประชุมสุดยอดด้านสภาพภูมิอากาศแห่งสหประชาชาติ COP30 ที่เมืองเบเลง ประเทศบราซิล ว่า หากรัฐบาลยังเพิกเฉยต่อการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ โลกจะต้องเผชิญหายนะ ทั้งความอดอยาก ความขัดแย้ง และความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง


“ไม่มีประเทศใดในโลกที่สามารถรับผลกระทบนี้ได้” สตีลกล่าว “หากปล่อยให้ภัยพิบัติจากสภาพอากาศทำลายเศรษฐกิจ จนจีดีพีหดตัวหลายสิบเปอร์เซ็นต์ การปล่อยให้ภัยแล้งทำลายผลผลิตทางการเกษตร ส่งผลให้ราคาอาหารพุ่งสูงขึ้น ถือเป็นความผิดพลาดทั้งทางเศรษฐกิจและการเมือง และหากผู้นำโลกยังมัวทะเลาะกัน ขณะที่ความอดอยากบีบให้ผู้คนนับล้านต้องอพยพหนีจากบ้านเกิด สิ่งนี้จะไม่มีวันถูกให้อภัย”


เขากล่าวย้ำว่า โลกมีความรู้และเทคโนโลยีพร้อมอยู่แล้ว แต่กลับยังเห็นประชากรนับล้านได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ “เมื่อเรามีทางแก้ไขอยู่ในมือ แต่กลับปล่อยให้ผู้คนต้องทนทุกข์จากมหันตภัยโลกร้อน นี่คือสิ่งที่โลกจะไม่มีวันให้อภัย”

การประชุม COP30 ครั้งนี้จัดขึ้นท่ามกลางความกังวลว่า อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกได้พุ่งเกินขีดจำกัด 1.5 องศาเซลเซียส ตามข้อตกลงปารีสปี 2558 ติดต่อกันถึง 2 ปี หากแนวโน้มยังดำเนินต่อไปอีกไม่กี่ปี จะถือเป็นการ “ละเมิดข้อตกลงปารีส” อย่างเป็นทางการ “สตีล” ระบุว่า “วิทยาศาสตร์ชี้ชัดว่า เรายังสามารถดึงอุณหภูมิกลับมาสู่เป้าหมาย 1.5 องศาได้ หากเราลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะมีเทน และเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดอย่างจริงจัง”


เขายังเตือนว่า ผลกระทบจากสภาพอากาศสุดขั้วที่เห็นทั่วโลก ทั้งเรื่องของพายุที่รุนแรง ภัยแล้ง และน้ำท่วมใหญ่ ไม่เพียงสร้างความเสียหายต่อชีวิตผู้คน แต่ยังทำให้ราคาสินค้าและอาหารทั่วโลกพุ่งสูงขึ้น เป็นแรงกดดันเงินเฟ้อที่ทุกประเทศต้องแบกรับ “ใครที่ยังเลือกเดินช้า หรือไม่ยอมเปลี่ยนผ่านพลังงาน จะต้องเผชิญภาวะเศรษฐกิจซบเซาและราคาสินค้าพุ่งสูง ขณะที่ประเทศที่เร่งเปลี่ยนไปสู่พลังงานสะอาดจะเติบโตและได้เปรียบในอนาคต” เขากล่าว


การประชุมครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่ประเทศเจ้าภาพอย่างบราซิลจัดประชุมในเมืองกลางป่าแอมะซอน ซึ่งประธานาธิบดีลูอิซ อีนาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา ใช้เวทีนี้เรียกร้องให้โลกเร่งลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล และให้ความสำคัญกับประชาชน โดยเฉพาะชุมชนชนพื้นเมือง “เราต้องมีแผนที่ชัดเจน เพื่อให้มนุษยชาติสามารถก้าวข้ามการพึ่งพาน้ำมันและถ่านหินได้” ลูลากล่าว “เราต้องลดการตัดไม้ทำลายป่า และให้มนุษย์ โดยเฉพาะชุมชนที่อยู่แนวหน้า เป็นศูนย์กลางของการต่อสู้กับโลกร้อน”

ลูลา ยังออกโรงโจมตีผู้ที่บิดเบือนข้อมูลและโจมตีวิทยาศาสตร์เรื่องสภาพภูมิอากาศ โดยพาดพิงถึงประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ซึ่งเคยเรียกการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศว่าเป็น “เรื่องหลอกลวง” และกดดันประเทศเล็กให้ลดความเข้มงวดในการลดมลพิษจากภาคขนส่งทางทะเล


“หากไม่มีข้อตกลงปารีส โลกคงจะร้อนขึ้นกว่า 5 องศาฯภายในสิ้นศตวรรษนี้” ลูลากล่าว “เรากำลังเดินมาถูกทาง แต่ต้องเร่งลงมือกว่านี้” เขาทิ้งท้ายด้วยถ้อยคำที่สะท้อนถึงหัวใจของการประชุมครั้งนี้ว่า “ผมหวังว่าความสงบนิ่งของผืนป่า จะช่วยให้เราทุกคนได้พบกับความชัดเจนในทางความคิด”


ในวันแรกของการประชุม บรรดาผู้นำกว่า 200 ประเทศได้เห็นชอบวาระการประชุมโดยไม่มีข้อขัดแย้งยืดเยื้อเช่นการประชุมครั้งก่อน ๆ อย่างไรก็ตาม มีบางประเทศ เช่น ซาอุดีอาระเบีย และกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาแนวร่วม ที่ยังคงคัดค้านการหารือเชิงลึกเรื่องการลดการใช้พลังงานฟอสซิลและการเพิ่มงบประมาณด้านการเงินเพื่อประเทศยากจน


หัวข้อสำคัญอีกประการคือ “การมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนดเอง” (NDCs) ซึ่งเป็นแผนลดการปล่อยคาร์บอนของแต่ละประเทศ ที่จนถึงขณะนี้ยังไม่เพียงพอ และหากคงแนวทางเดิมไว้ อุณหภูมิโลกอาจเพิ่มขึ้นถึง 2.5 องศาเซลเซียส และกลุ่มประเทศหมู่เกาะเล็ก (AOSIS) จึงเรียกร้องให้เพิ่มวาระพิเศษเพื่อยกระดับแผนดังกล่าว โดยเอกอัครราชทูตอิลานา เซอิด แห่งประเทศปาเลา ระบุว่า“เป้าหมาย 1.5 องศาคือดาวนำทางของเรา เราต้องยอมรับร่วมกันว่าเรายังทำไม่ถึง และต้องลงมืออย่างจริงจัง”


นอกจากนี้ ประเทศร่ำรวยยังถูกจับตามองเป็นพิเศษ หลังล้มเหลวในการจัดสรรงบประมาณช่วยเหลือประเทศยากจนตามสัญญาเมื่อปีที่แล้ว โดยให้คำมั่นว่าจะสนับสนุนเงินรวม ราว 13 ล้านล้านบาทต่อปี (ประมาณ 300 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ภายในปี 2578 เพื่อช่วยประเทศเปราะบางรับมือภัยพิบัติและลงทุนในพลังงานสะอาด แต่ยังไม่มีแผนที่ชัดเจนว่าจะหาเงินทุนจำนวนนี้จากที่ใด


นักวิเคราะห์คาดว่า การประชุม COP30 จะเป็นจุดตัดสำคัญของอนาคตโลก ว่าจะสามารถเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำได้จริง หรือจะปล่อยให้ “โอกาสสุดท้าย” ผ่านไปอีกครั้ง เหมือนกับคำเตือนของสตีลที่บอกว่า “เราจะไม่มีวันถูกให้อภัยจากคนรุ่นต่อไปอย่างแน่นอน”

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง