รีเซต

4 โบรกฯ เปิดมุมมองกลยุทธ์ลงทุนวันนี้

4 โบรกฯ เปิดมุมมองกลยุทธ์ลงทุนวันนี้
ทันหุ้น
5 มีนาคม 2564 ( 09:16 )
69

ทันหุ้น - บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) (MBKET) ระบุ SET Index SET Index  ปิดที่ระดับ 1534.11 จุด (-9.29 จุด) ตราบใดที่ดัชนียังคงสามารถยืนเหนือระดับ 1530 จุด ยังจะเป็นการประคองโมเมนตัมเชิงบวกในภาพหลักเอาไว้ได้ มีลุ้นที่จะแกว่งตัวขึ้นทดสอบแนวต้าน 1560 จุดอีกครั้ง

 

กลยุทธ์การลงทุน

มีหุ้น  ถือต่อ รอขายทำกำไรที่บริเวณ 1560 จุด

ไม่มีหุ้น  Follow buy ตาม หลังผ่านแนวต้าน 1530 จุด

 

ประเมินแนวรับ 1530/1510  แนวต้าน 1540/1560

 

**CPALL-BCP เทคนิคเด่น

 

CPALL เกิดการ Breakout ขึ้นทำ High ใหม่ โดยราคาสามารถปิดเหนือระดับ 64.50 บาท เป็นสัญญาณการ “เริ่มต้น” การเข้าสู่รอบการขึ้นใหม่อีกครั้ง แนะซื้อตามก่อน 1 ไม้ และอีก 1 ไม้ ตั้งซื้อตามแนวรับ

 

แนะนำซื้อ โดยให้แนวรับ 64.50 แนวต้าน 66.25/67.75 ตัดขาดทุน 64

 

BCP ราคาย่อตัวในแนวโน้มขาขึ้น ล่าสุดลงมาใกล้ทดสอบแนวรับเส้น Uptrend line สามารถใช้เป็นจังหวะในการเข้าเล่นรอบเก็งกำไรที่ดี มีลุ้นที่จะฟื้นตัวกลับขึ้นทดสอบแนวต้าน High เดิมที่ 29.75 บาทอีกครั้ง แนะตั้งซื้อที่แนวรับ 27-27.50 บาท

 

แนะนำซื้อ โดยให้แนวรับ 27-27.50  แนวต้าน  29/29.75  ตัดขาดทุน  26.50

 

**บล.เคทีบีเอสที คาดดัชนีฯ มีโอกาสอ่อนตัวลง แรงขายพันธบัตรในสหรัฐฯยังป่วนตลาดและการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ทั่วโลก ทำให้นักลงทุนกลับมาขายหุ้นในเอเซีย แต่หุ้นกลุ่มน้ำมันและหุ้นฟื้นตัวตามเศรษฐกิจ อาจถูกเข้ามาเก็งกำไรช่วงสั้นๆ กลยุทธ์ ตราบที่ตลาดพันธบัตรยังผันผวนแบบนี้ การลงทุนจะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น เลือกขายทำกำไร หรือเลือกเล่นตัวที่มีการเติบโตที่ดีไว้ก่อน

 

การแถลงของ ประธาน Fed คืนที่ผ่านมา ไม่ได้ช่วยให้นักลงทุนลดการขายพันธบัตรลงเท่าใดนัก เนื่องจากมีการพูดถึงเงินเฟ้อว่ามีแนวโน้มเร่งตัวขึ้น และยังไม่มีมาตรการใดๆ เพื่อนักลงทุนในตลาดพันธบัตร ทำให้เกิดแรงขายสินทรัพย์ต่างๆ  หนุนดอลล่าร์แข็งค่า (Dollar Index เช้านี้ 91.6 จุด) ยิ่งกดดันการลงทุนในตลาดนอกสหรัฐฯมากขึ้น  

 

ทั้งนี้ ดัชนี Dow Jones ปรับตัวลงเพียง 345 จุด คืนที่ผ่านมา เพราะมีการขายหุ้นกลุ่มเทคฯ แต่กลับซื้อหุ้นกลุ่มอิงกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ  และกลุ่มน้ำมันจากผลประชุม OPEC+ ที่ตรึงกำลังการผลิตต่อ จากกำหนดการเดิมที่จะเพิ่ม 0.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน ถือเป็น surprise ต่อตลาด ซึงจะบวกต่อหุ้นน้ำมัน-ปิโตรเคมี ของไทยในวันนี้ด้วย 

 

fund flow ในตลาดต่างประเทศ พบว่าเป็น net sell ไล่ตั้งแต่ญี่ปุ่น  จนถึงตลาดหุ้นอื่นๆ ของเอเซีย คาดมาจากผลกระทบจากการที่  Bond Yield ที่ดีดตัวขึ้น  เพราะต้นทุนการเงินเพิ่มและมีผลขาดทุนจากการลงทุนในพันธบัตรเข้ามา

 

ด้านของไทย ปัจจัยบวกยังคงเป็นเงินบาท แข็งแกร่ง (30.46 บาท/ดอลล่าร์) กำไรตลาดและแนวโน้มเศรษฐกิจ ฟื้นจาก Covid-19 ที่ผ่อนคลายลง และการนำวัคซีนมาเริ่มใช้ในเร็วๆ นี้ ดีต่อกลุ่มอิงรายได้จากการท่องเที่ยว (top picks ของเราเป็น MINT, CRC)  ตัวเลขเศรษฐกิจที่ติดตามวันนี้  เงินเฟ้อเดือน ก.พ.ของไทย (คาด -0.16% YoY)   และตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐฯ ซึ่งมีผลต่อเงินเฟ้อด้วย

 

#Strategy

ความกังวลต่อตลาดพันธบัตรสหรัฐฯ ฉุดให้นักลงทุนชะลอการลงทุนในสินทรัพย์ และหันไปถือเงินสดมากขึ้น กลยุทธ์ วันนี้ ตราบที่ตลาดพันธบัตรยังผันผวนแบบนี้ การลงทุนจะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น เลือกขายทำกำไร หรือเลือกเล่นตัวที่มีการเติบโตที่ดีไว้ก่อน   พอร์ตหุ้นวันนี้ เรานำหุ้น DOD*, BANPU* ออก และนำ STEC, WHA เข้ามาแทน หุ้นในพอร์ตประกอบด้วย  STEC(10%), WHA(10%), EA(15%), WICE*(15%), NRF(10%), KCE(20%), SINGER(15%)

 

#Strategy top picks

WHA: (เป้าเชิงกลยุทธ์ 3.50 บาท) “คาดนักลงทุนจะกลับมาในช่วง 2H21 หนุนยอดขาย/โอนที่ดิน, การใช้น้ำ-ไฟ ในปีนี้ก็จะเพิ่มขึ้น”

•เดิมทีนักธุรกิจเข้าสามารถเดินทางเข้ามาได้อยู่แล้ว ยิ่งได้ Vaccine-Passport คาดจะทำให้นักลงทุนสามารถกลับมาได้เร็วขึ้น

•ผู้บริหารประเมินยอดโอนที่ดินปี 2021 ที่ 700 ไร่ โดยมี Backlog จากปีก่อนที่ 458 ไร่ ขณะที่รายได้จากธุรกิจฝั่ง Recuring มีโอกาสฟื้นตัวจากการผลิตที่เพิ่มขึ้นของลูกค้าในนิคม (โรงงานปิโตรในนิคมก็เริ่ม COD)

•KTBST ประเมินกำไรสุทธิในปี 2021-2022 ที่ 2.98 พัน ลบ. และ 3.42 พัน ลบ. +18%YoY, +15%YoY ตามลำดับ

 

Technical : AEONTS, SONIC

 

**บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) ประเมิน SET ผันผวนจากผลตอบแทนพันธบัตร แต่หุ้นปันผลและกองรีทส์อยู่ในชุดที่น่าสนใจ ทั้งนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรกดดันต่อหุ้นที่มี Valuation แพง ตลาดหุ้นยุโรปและสหรัฐฯ ปรับตัวลดลง หลังถ้อยแถลงของประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ เจอโรม พาวเวล ไม่มีการการส่งสัญญาณถึงนโยบายที่จะควบคุมการปรับขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร 

 

ขณะเดียวกันการแสดงมุมมองว่าเงินเฟ้อมีโอกาสเพิ่มขึ้นจากการเปิดเศรษฐกิจ ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพัธบัตรสหรัฐฯ 10 ปี ปรับตัวขึ้นสูงสุดในรอบ 1 ปี ที่ 1.56% ทั้งนี้ในทางการเงินผลตอบแทนพันธบัตรเป็นตัวสะท้อนอัตราการคิดลด (discounted rate) ในการประเมินมูลค่าหุ้น ดังนั้นการเพิ่มขึ้นของตัวเลขดังกล่าวจะส่งแรงกดดันมากที่สุดต่อหุ้นในกลุ่มที่แพง หรือมูลค่าอิงจากการเติบโตในอนาคตในสัดส่วนที่สูง ส่งผลให้หุ้นเทคโนโลยีปรับตัวลดลงแรงกว่าตลาด

 

ราคาน้ำมันฟื้นตัวหลังโอเปคคงกำลังการผลิตถึงเม.ย.64 การตัดสินใจคงกำลังการผลิตของโอเปคถือว่าค่อนข้างผิดจากที่ตลาดคาด อย่างไรก็ตามสอดคล้องกับมุมมองของเราที่ประเมินว่าการคงกำลังการผลิตก็เพียงพอที่จะเป็นปัจจัยบวกต่อราคาน้ำมันดิบ เนื่องจากอุปทานที่ตึงตัวในปัจจุบัน และจากกำลังการผลิตในสหรัฐฯ ที่ได้รับผลกระทบจากอากาศหนาวเย็นผิดปกติ ทั้งนี้ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/64 ที่ยังฟื้นตัวดีต่อเนื่อง และโดดเด่นเมื่อเทียบกับผลขาดทุนในช่วงไตรมาส 1/63 จะยังทำให้หุ้นพลังงาน ปิโตรเคมี มีบรรยากาศการเก็งกำไรที่ดีในช่วง 1 เดือนข้างหน้า

 

หุ้นปันผลและกองรีทส์มีโอกาสฟื้นตัว แม้การพุ่งขึ้นของผลตอบแทนพันธบัตรจะเป็นลบกับราคาพันธบัตร และหลักทรัพย์ที่มีลักษณะคล้ายตราสารหนี้ แต่ในสถานการณ์ปัจจุบันที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอยู่ในระดับที่ต่ำมากและการพุ่งขึ้นดังกล่าวไม่น่าเกินกว่าระดับ 2% ในเร็วๆนี้ จะทำให้หุ้นที่มีปันผลสูง มีความน่าสนใจเพิ่มขึ้น และผลตอบแทนจากเงินปันผลจะช่วยหักล้างผลกระทบจาก ความน่าสนใจของการลงทุนในหุ้นเทียบพันธบัตร (Earnings yield gap) ที่ต่ำลง

 

แบ่งทำกำไรหุ้นแพง เก็งกำไรหุ้นที่มีการถือครองต่ำ หรือมีปันผล เรายังคงมุมมองบวกต่อภาพการลงทุน อย่างไรก็ตามในระยะสั้นนักลงทุนอาจเผชิญความผันผวนจากแรงทำกำไรและการหมุนกลุ่มหุ้นได้ เราคาดนักลงทุนสถาบันจะพยายามลดการถือครองหุ้นที่มีกำไรสูงที่มีโอกาสเป็นเป้าหมายของการขายทำกำไร ขณะที่อาจเห็นนักลงทุนสถาบันการเพิ่มน้ำหนักหุ้นในกลุ่มที่มีการถือครองต่ำ (underowned) เพื่อรับมือความผันผวน ซึ่งบวกกับกลุ่มการอพทย์และค้าปลีก

 

ตลาดเลือกเก็งกำไรรายตัว โดยธีมที่น่าสนใจ ได้แก่ 1) กลุ่มท่องเที่ยว-ธนาคาร จากการผ่อนคลายเศรษฐกิจ และมาตรการออก REIT buy back เราชอบธนาคารที่ยัง Laggard อย่าง BBL, SCB, AWC, MINT, CPN, BDMS 2) กลุ่มเปิดเศรษฐกิจ บวกต่อ CPN, CRC, MAJOR, SPA, BDMS, M 3) ได้ประโยชน์จากเราชนะ TNP เนื่องจากเป็นร้านค้าธงฟ้า 4) ไฟฟ้าชุมชน ยื่นซอง 22 มี.ค.-2 เม.ย. เรามองบวกต่อพลังงานทดแทน โดยเฉพาะ ETC และ ACE 5) Re-rating PTG 6) ปันผลและกองรีทส์ ADVANC, BTSGIF, CPNREIT, AIMIRT, FTREIT, EASTW, WHAUP, EASTW, TTW, TIP

 

ททท.วางแนวทางต่างชาติมี “พาสปอร์ตวัคซีน” เข้าไทยไตรมาส 3/64 พร้อมเร่งฉีดวัคซีนให้ภาคธุรกิจท่องเที่ยว เดินหน้ากระตุ้นไทยเที่ยวไทย สรุปแพ็กเกจเราเที่ยวด้วยกันและทัวร์เที่ยวไทยเข้า ครม.สัปดาห์หน้า

 

AAV. ตั้งเป้าผู้โดยสาร 9.4 ล้านคน มั่นใจรายได้รวมเพิ่มขึ้นเล็กน้อย จากการบริหารจัดการต้นทุนการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ

 

SCB ปล่อยกู้ 1.5 พันล้าน. SCB ปล่อยกู้ PACE ลุยก่อสร้างโครงการนิมิตหลังสวน วงเงิน 1.5 พันล้านบาทตามคำสั่งศาลล้มละลายกลาง ก่อนโอนกรรมสิทธิ์ให้ลูกค้า มั่นใจ PACE เริ่มจ่ายเงินคืนแบงก์ 5 พันล้านบาทภายในปี 2565 ส่วนดีน แอนด์ เดลูก้า รอปรับโครงสร้างหนี้

 

ภาพรวมกลยุทธ์ แม้อาจมีความผันผวนบ้างในระยะสั้น แต่ตามภาพระยะกลางยังคงมุมมองเชิงบวก คาดหุ้นปันผลสูง และที่มีการถือครองต่ำมีโอกาสเป็นแหล่งพักเงิน และเคลื่อนไหวดีกว่าตลาดในระยะสั้น

 

หุ้นแนะนำวันนี้ เก็งกำไร BTSGIF*, BDMS*, SUPER*, WHAUP*

 

แนวรับ 1,515 และ 1,530 / แนวต้าน : 1,565 จุด สัดส่วน : เงินสด 40% : พอร์ตหุ้น 60%

 

ประเด็นติดตาม: - 5 มี.ค. : US employment report

 

**บล.ฟินันเซีย ไซรัส มองแนวโน้มตลาดวันนี้ คาด SET Index จะแกว่งตัวลงทดสอบระดับ 1,515-1,520+- จุด จากบรรยากาศการลงทุนที่ค่อนข้างเป็นลบ หลังถ้อยแถลงของประธาน FED กล่าวว่าสหรัฐฯ อาจเผชิญเงินเฟ้อที่ปรับขึ้นชั่วคราว ถึงแม้ว่า FED จะยังไม่รีบปรับขึ้นดอกเบี้ย แต่ยังไม่มีการส่งสัญญาณควบคุมความผันผวนที่เกิดขึ้นในตลาดพันธบัตร 

 

โดยล่าสุด Bond Yield 10 ปีสหรัฐฯปรับขึ้นแตะ 1.57% สูงสุดในรอบกว่า 1 ปี ส่งผลให้ระยะสั้นเป็นลบต่อสินทรัพย์เสี่ยงและกระแสเงินทุนที่ไหลออก คาดว่าหุ้น Growth ที่ปรับตัวขึ้นแรงในช่วงก่อนหน้าและมี PE แพงจะเผชิญแรงขาย ขณะที่ระยะสั้นเรายังให้น้ำหนักบวกต่อกลุ่ม Cyclical และ Commodity Play โดยเฉพาะราคาน้ำมันดิบที่พุ่งแรงหลัง OPEC+ คงกำลังการผลิตในเดือนเม.ย. ทำให้กลุ่มพลังงานคาดพยุงตลาดวันนี้ 

 

อย่าไรก็ตามยังคงมุมมองเดิมต่อ Upside ของ SET Index ระยะสั้นที่ยังไม่กว้างนักเนื่องจาก Valuation ค่อนข้างตึงตัวเทรด 2021PER เกือบ 20 เท่า สูงกว่าภูมิภาครวมถึงค่าเฉลี่ยในอดีต และปัจจุบันมี Earnings Yield Gap เพียง 3.4% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยที่ 4% จึงยังรอการพักฐานของตลาดลงหาระดับ 1,450-1,460+- จุดจึงเริ่มน่าสนใจในการเข้าทยอยสะสม 

 

กลยุทธ์ : เลือกเก็งกำไรหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัวและหุ้น Cyclical Play//ทยอยสะสมหุ้นพื้นฐานบริเวณ 1,450-1,460+-

หุ้นเด่นเดือนมี.ค. : BEM, DOHOME, KKP, PTTEP, TVO

 

หุ้นเด่นวันนี้:KKP

• แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายจาก FSSIA 68 บาท

• แนวโน้มกำไร 1Q20 ยังแข็งแกร่งต่อเนื่องจากตามเศรษฐกิจที่ทยอยฟื้น รวมถึงธุรกิจหลักทรัพย์ที่ได้ประโยชน์จากปริมาณซื้อขายต่อวันที่สูง และดีล IB โดยเฉพาะ OR

• คาดกำไรปี 2021 ฟื้นตัวแกร่ง +18% Y-Y และได้ประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยที่ยังต่ำตลอดปี ขณะที่ Dividend Yield ปี 2020-2021 อยู่ที่ 5% และ 6.7% ตามลำดับ

 

Fund Flow : วานนี้กระแสเงินทุนพลิกมาไหลออกจากภูมิภาคหนาแน่น US$2,906 ล้าน โดยส่วนใหญ่ไหลออกจากไต้หวันและเกาหลีใต้ US$2,016 ล้านและ US$920 ล้าน ส่วนตลาด TIP ส่วนใหญ่ไหลออกบางๆ มีเพียงไทยที่ไหลเข้า US$24 ล้าน แนวโน้มของกระแสเงินทุนวันนี้คาดยังไหลออกจากความกังวลเรื่องเงินเฟ้อที่กลับมาอีกครั้งส่งผลให้ Bond Yield ปรับตัวขึ้น

 

 

 

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง