โลกไม่ทน ปราบมิจฉาชีพ “กัมพูชา-อาเซียน”

กระแสร้อนในเกาหลีใต้ขณะนี้เป็นเรื่องที่พลเมืองจำนวนมากตกเป็นเหยื่อแก๊งมิจฉาชีพในกัมพูชา ซึ่งประเด็นนี้ถูกโหมกระพือจากการเสียชีวิตของนักศึกษาชาวเกาหลีใต้รายหนึ่งเมื่อเร็ว ๆ นี้ หลังถูกหลอกให้ไปทำงานกับแก๊งมิจฉาชีพในกัมพูชาแลกกับค่าจ้างจำนวนมาก แต่กลับถูกกักขังและทรมานอย่างหนักจนเสียชีวิต
เกาหลีใต้ตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจ ประกอบด้วย “คิม จี-นา” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงต่างประเทศ เจ้าหน้าที่จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงยุติธรรม และหน่วยข่าวกรองแห่งชาติ เดินทางถึงกัมพูชาเมื่อวานนี้ พร้อมได้เข้าพบนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกัมพูชา เพื่อหารือแนวทางแก้ปัญหาที่ชาวเกาหลีใต้จำนวนมากถูกหลอกไปทำงาน รวมถึงการสอบสวนกรณีการเสียชีวิตของนักศึกษาคนดังกล่าว และเร่งรัดการส่งตัวชาวเกาหลีใต้ 61 คนที่ถูกควบคุมตัวโดยสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองของกัมพูชา ฐานต้องสงสัยมีส่วนเกี่ยวข้องกับแก๊งหลอกลวง เพื่อเดินทางกลับเกาหลีใต้
เกาหลีใต้ยังได้ออกคำสั่งห้ามเดินทางระดับสูงสุด หรือ code-black สำหรับบางพื้นที่ของกัมพูชา รวมถึงปอยเปตและกัมปอต พร้อมแนะนำให้พลเมืองเดินทางออกจากพื้นที่ต่าง ๆ รวมถึงสีหนุวิลล์ โดยอ้างถึงกรณีการกักขังและการหลอกไปทำงาน ทั้งนี้ “วี ซอง-ลัก” ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของเกาหลีใต้ ประเมินว่า มีชาวเกาหลีใต้มากกว่า 1,000 คน ตกเป็นเหยื่อที่ถูกหลอกไปทำงานกับแก๊งสแกมเมอร์ในกัมพูชาที่มีอยู่ราว 200,000 คน ซึ่งมาจากหลากหลายเชื้อชาติ
ก่อนหน้านี้ กระทรวงต่างประเทศเกาหลีใต้เรียกเอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำกรุงโซลเข้าพบ เพื่อประท้วงเหตุนักศึกษาเสียชีวิต รวมถึงการควบคุมตัวพลเมืองของเกาหลีใต้โดยแก๊งอาชญากรรมไซเบอร์ พร้อมเรียกร้องให้ทางการกัมพูชาเร่งดำเนินการเรื่องนี้ ขณะเดียวกัน ข้อมูลของกระทรวงต่างประเทศเกาหลีใต้ พบว่า ระหว่างเดือนมกราคม-สิงหาคมปีนี้ มีญาติของพลเมืองเกาหลีใต้ยื่นรายงานคนหายหรือถูกควบคุมตัวโดยไม่สมัครใจในกัมพูชา 330 กรณี เพิ่มขึ้นจาก 220 คดีในปี 2567 และ 17 คดีในปี 2566
ไม่ใช่แค่เกาหลีใต้ที่ออกมาเดินหน้าชนปัญหาแก๊งมิจฉาชีพ แต่สหรัฐฯ และอังกฤษก็ผนึกกำลังประกาศมาตรการคว่ำบาตรรอบใหม่ต่อเครือข่ายฉ้อโกงข้ามชาติ ซึ่งมีเครือข่ายขนาดใหญ่ในกัมพูชา เมียนมา และหลายประเทศในภูมิภาคอาเซียน แต่นักวิเคราะห์ระบุว่าส่วนใหญ่ดำเนินการโดยกลุ่มจีนเทา โดยแก๊งเหล่านี้ได้ใช้โฆษณาหางานปลอมเพื่อล่อลวงคนไปทำงานต้มตุ๋นทางออนไลน์ และการลวงให้รักผ่านการสร้างตัวตนปลอม ๆ เพื่อให้เหยื่อตกหลุมพราง ก่อนจะชักชวนให้ลงทุนจำนวนมากในแพลตฟอร์มสกุลเงินดิจิทัลปลอม
โดยกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ได้ยึด “บิตคอยน์” จำนวน 127,271 เหรียญ คิดเป็นมูลค่า 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ จากกระเป๋าเงินดิจิทัลที่ไม่ได้อยู่ในการดูแลของแพลตฟอร์ม และอยู่ภายใต้การควบคุมของ “เฉิน จื้อ” ประธานกรรมการบริหารกลุ่มบริษัท “พรินซ์ โฮลดิ้ง กรุ๊ป” (Prince Holding Group) ซึ่งพัวพันกับขบวนการฉ้อโกงทางไซเบอร์ที่มีการบังคับใช้แรงงาน สมรู้ร่วมคิดเกี่ยวกับการฟอกเงิน และการติดสินบน นับถึงขณะนี้ “เฉิน จื้อ” ยังคงหลบหนี ซึ่งหากเขาถูกตัดสินว่ามีความผิดก็อาจต้องโทษจำคุกสูงสุด 40 ปี และหากศาลอนุญาต สหรัฐฯ สามารถใช้บิตคอยน์ที่ยึดมาสำหรับชำระหนี้ให้กับเหยื่อได้ ซึ่งราคา “บิตคอยน์” ในปัจจุบันอยู่ที่กว่า 113,000 ดอลลาร์ต่อเหรียญ
จากคำฟ้องของอัยการสหรัฐฯ ระบุว่า “เฉิน จื้อ” เป็นผู้ควบคุมศูนย์ฉ้อโกงทางไซเบอร์ในกัมพูชาหลายสิบแห่ง ซึ่งดำเนินกิจกรรมผิดกฎหมายผ่านโทรศัพท์มือถือจำนวนมาก หรือที่เรียกว่า phone farm โดยมีการลักลอบนำแรงงานข้ามชาติเข้าไปทำงานในลักษณะบังคับ เพื่อให้หลอกลวงเหยื่อผ่านกลโกง “หลอกเชือดหมู” (Pig Butchering) ซึ่งล่อลวงเหยื่อให้เชื่อใจในความสัมพันธ์หลอก ๆ หรือการชักชวนให้ลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซี ก่อนจะหลอกเอาเงินไปจนหมด
นับเป็นการอายัดทางการเงินครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ และเป็นการยึดบิตคอยน์ครั้งใหญ่สุดเท่าที่เคยมีมา ขณะที่กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ระบุว่า ปี 2567 ชาวอเมริกันสูญเงินอย่างน้อย 1 หมื่นล้านดอลลาร์ จากแก๊งมิจฉาชีพในอาเซียน ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 66 จากปี 2566 และ “พรินซ์ โฮลดิ้ง กรุ๊ป” เป็นผู้เล่นหลักในอุตสาหกรรมนี้
ส่วนมาตรการคว่ำบาตรของอังกฤษมุ่งเป้าไปที่หน่วยงาน 6 แห่ง และบุคคล 6 คน รวมถึง “เฉิน จื้อ” โดยทางการอังกฤษอายัดทรัพย์สินที่พัวพันกับเครือข่ายนี้หลายรายการ รวมถึงอสังหาริมทรัพย์ 19 แห่งในกรุงลอนดอน ซึ่งหนึ่งในนั้นมีมูลค่าเกือบ 100 ล้านปอนด์
นับตั้งแต่ “พรินซ์ โฮลดิ้ง กรุ๊ป” ก่อตั้งขึ้นในปี 2558 บริษัทดำเนินธุรกิจในกว่า 30 ประเทศ ภายใต้หน้ากากของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บริการทางการเงิน และธุรกิจเพื่อผู้บริโภคที่ถูกกฎหมาย แต่ผู้เกี่ยวข้องกับบริษัทหลายรายถูกกล่าวหาว่าใช้อิทธิพลทางการเมืองและการติดสินบนในหลายประเทศเพื่อปกปิดธุรกิจหลอกลวงทางไซเบอร์เอาไว้ ซึ่งสามารถทำเงินได้ราว 30 ล้านดอลลาร์ต่อวัน
การฉ้อโกงทางไซเบอร์ดังกล่าวทำให้เกิดความเสียหายหลายหมื่นล้านดอลลาร์ และสร้างความทุกข์ยากแก่เหยื่อทั่วโลก ทั้งผู้ที่ถูกฉ้อโกงทรัพย์ รวมถึงเหยื่อที่ถูกค้ามนุษย์และถูกบังคับให้ทำงานโดยไม่สมัครใจ สำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) ประเมินว่า ในปี 2566 มีผู้ถูกบังคับให้ทำงานกับแก๊งสแกมเมอร์ออนไลน์ในกัมพูชาราว 100,000 คน ส่วนในเมียนมาน่าจะมีเหยื่อราว 120,000 คน รวมถึงอีกหลายหมื่นคนในไทย, สปป.ลาว และฟิลิปปินส์ พร้อมกับเตือนว่าติมอร์-เลสเต กำลังกลายเป็นพื้นที่เสี่ยงแห่งใหม่ของแก๊งมิจฉาชีพ
กรณีแก๊งมิจฉาชีพใน “กัมพูชา” เป็นหนึ่งในจิ๊กซอว์สำคัญที่สะท้อนปัญหาในภูมิภาคนี้ โดยกลุ่มปกป้องสิทธิมนุษยชน “แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล” ระบุว่า ในกัมพูชามีศูนย์ฉ้อโกงทางไซเบอร์อย่างน้อย 53 แห่ง ซึ่งมีการกระทำผิดทั้งการค้ามนุษย์ บังคับใช้แรงงาน ทรมาน กักขังหน่วงเหนี่ยว และเป็นทาส
ในขณะที่ปัจจุบัน “อาเซียน” กลายเป็นศูนย์กลางของอาชญากรรมทางเศรษฐกิจที่อันตรายและเติบโตรวดเร็วที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ข้อมูลจากสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) ระบุว่า ในปี 2566 การฉ้อโกงทางไซเบอร์ในเอเชียตะวันออกและอาเซียนก่อให้เกิดความเสียหายทั่วโลกคิดเป็นมูลค่าราว 1.8-3.7 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยส่วนใหญ่มาจากแก๊งมิจฉาชีพในกัมพูชา เมียนมา และ สปป.ลาว
รายงานของ UNODC ยังระบุถึงแนวโน้มที่กลุ่มอาชญากรได้ก้าวล้ำหน้ามากขึ้น ผ่านการใช้เครื่องมือที่ทันสมัย อาทิ ปัญญาประดิษฐ์แบบรู้สร้าง (generative AI) สะท้อนผ่านตัวเลขการเพิ่มขึ้นของอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับ Deepfake ที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 600 ในช่วงครึ่งแรกของปี 2567
แม้ว่าผู้สูงอายุมักจะตกเป็นเป้าหมายของการฉ้อโกงออนไลน์ แต่ข้อมูลชี้ว่า ลูกหลานของผู้สูงอายุ ซึ่งอยู่ในกลุ่มเจเนอเรชัน Z ซึ่งเกิดระหว่างปี 2540-2555 กลับมีความเสี่ยงที่จะตกเป็นเป้าหมายมากขึ้น โดยเฉพาะการหลอกลวงในโลกออนไลน์ ขณะที่กลุ่มมิจฉาชีพยังคงแสวงหาวิธีการและสถานที่ใหม่ ๆ ในการทำผิดกฎหมายต่อไป
สถาบันสันติภาพแห่งสหรัฐฯ (USIP) ประเมินว่า ในปี 2567 แก๊งมิจฉาชีพสร้างความเสียหายรวมกว่า 4.38 หมื่นล้านดอลลาร์ คิดเป็นเกือบร้อยละ 40 ของ GDP ทั้ง สปป.ลาว กัมพูชา และเมียนมารวมกัน ขณะที่เมื่อพิจารณาเฉพาะในกัมพูชา ธุรกิจหลอกลวงทางไซเบอร์สร้างรายได้ 1.25 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อปี ซึ่งมากกว่าครึ่งหนึ่งของ GDP ทั้งประเทศ
ทั้งนี้ ปฏิบัติการหลอกลวงที่แพร่หลายในภูมิภาคนี้มีรากฐานมาจากเครือข่ายกาสิโนและการพนันออนไลน์ระดับภูมิภาค โดยรัฐบาลบางประเทศได้ส่งเสริมให้ธุรกิจนี้เป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งหลายปัจจัยได้ผลักดันให้กิจกรรมฉ้อโกงออนไลน์เกิดขึ้น และยิ่งขยายตัวจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีดิจิทัล
ในส่วนของไทยที่เผชิญปัญหาจากแก๊งมิจฉาชีพเช่นกัน ล่าสุด นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ลงนามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 341/2568 แต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยีแล้ว โดยนายกฯ อนุทินนั่งเป็นประธาน ส่วนรองประธานประกอบด้วย นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรี นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง, นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ, พล.ต.ท.รุทธพล เนาวรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และนายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
