บิ๊กตู่ ร่ายญัตติเปิดสภา ยันรบ.จะสร้างสมดุลทุกฝ่าย เข้าใจ ทุกอย่างเปลี่ยนไปตามเวลา
เริ่มแล้ว เวทีรัฐสภา ถกหาทางออกประเทศ “บิ๊กตู่” ร่ายยาวยันรัฐไม่อยากให้เกิดจลาจล เชื่อคนไทยรักกัน พร้อมนำพาประเทศไปสู่อนาคตภายใต้กรอบกฎหมาย
เมื่อเวลา 09.30 น.วันที่ 26 ตุลาคม ที่รัฐสภา ในการประชุมร่วมรัฐสภาสมัยวิสามัญ ที่มี นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา เป็นประธานการประชุม เพื่อขอให้มีการเปิดอภิปรายทั่วไป โดยไม่มีการลงมติ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 165 โดยก่อนเข้าสู่วาระ นายชวนได้แจ้งต่อที่ประชุมว่า ขณะนี้มีสมาชิกรัฐสภาปฏิบัติหน้าที่ได้จำนวน 732 คน แบ่งเป็น ส.ส. 487 คน ส.ว. 245 คน ดังนั้น องค์ประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งคือ 366 คน และการเปิดอภิปรายครั้งนี้เป็นการหารือกันท่ามกลางสถานการณ์ที่ประชาชนมีความกังวลห่วงใยบ้านเมือง แม้บทบาทในการแก้ปัญหาจะเป็นฝ่ายบริหารก็ตาม ในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติมีส่วนใดที่เข้าไปสนับสนุน ในการแก้ปัญหาให้คลายกังวลได้บ้างก็สมควรจะทำ แม้สมัยประชุมสามัญจะเปิดในเดือนพฤศจิกายนก็ตาม เสียงส่วนใหญ่ก็เห็นว่าควรจะเปิดประชุมสมัยวิสามัญ
ด้าน นายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานวิปรัฐบาล ชี้แจงว่า การอภิปรายวันนี้มีเวลา 12.30 ชั่วโมง จะจบในเวลา 22.30 น. ส่วนเวลาที่เหลือทั้งหมดอภิปรายต่อในวันที่ 27 ตุลาคม โดยเริ่มในเวลา 09.30 น. ไปจนกว่าจะครบตามกำหนดเวลา แต่จะพิจารณาสถานการณ์อีกครั้ง หากมีการอภิปรายที่ต่อเนื่องวันที่ 26 ตุลาคม อาจให้เวลาเกินเวลาเที่ยงคืน เพื่อให้การประชุมวันที่ 27 ตุลาคม สามารถเริ่มได้โดยไม่ต้องลงชื่อ
ทั้งนี้ นายชวน ได้เน้นย้ำต่อที่ประชุมถึงการอภิปรายตามข้อบังคับการประชุมรัฐสภาอย่างเคร่งครัด ต้องอยู่ในประเด็นที่ปรึกษากันอยู่ ต้องไม่ฟุ่มเฟือย ซ้ำซาก หรือซ้ำกับบุคคลอื่น ห้ามนำเอกสารอื่นใดมาอ่านในที่ประชุมโดยไม่จำเป็น ห้ามนำวัตถุใดมาแสดงในที่ประชุมเว้นแต่ประธานจะอนุญาติ ห้ามใส่ร้าย เสียดสี ห้ามกล่าวถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ หรือออกชื่อสมาชิกรัฐสภาหรือบุคคลใดโดยไม่จำเป็น ตามข้อบังคับที่ 45 ของรัฐสภา ซึ่งทุกคนใช้วุฒิภาวะของเราเพื่อเป้าหมายเพื่อบรรเทาความกังวลของประชาชนให้ลดลง
จากนั้น เวลา 09.55 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เสนอญัตติต่อที่ประชุมรัฐสภา เพื่อให้เริ่มการอภิปรายโดยมีรายละเอียดที่สำคัญ ต่อการควบคุมสถานการณ์การชุมนุมทางการเมือง และการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่เกิดการแออัดจากการชุมนุม ซึ่งในสถานการณ์การชุมนุมที่เกิดขึ้น รัฐบาลพยายามดูแลสถานการณ์ให้ดีที่สุด ใช้กฎหมายอะลุ้มอล่วย ผ่อนผันมาตลอด แต่การชุมนุมยังขยายตัวต่อเนื่อง แม้การชุมนุมจะมีเสรีภาพได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ แต่รัฐต้องใช้อำนาจเข้าควบคุมการชุมนุมที่ผิดกฎหมายที่เป็นข้อยกเว้นเรื่องการใช้สิทธิเสรีภาพ แต่เจ้าหน้าที่รัฐก็ต้องเข้าควบคุมการการชุมนุมที่ผิดกฎหมาย
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า ข้อเรียกร้อง 3 ข้อของผู้ชุมนุมหลายเรื่องอยู่ในขั้นตอนดำเนินการอยู่แล้ว และศาลก็เริ่มมีการปล่อยตัวผู้ถูกควบคุมตัวหลายราย หลายครั้งที่การชุมนุมเป็นไปด้วยความเรียบร้อย แต่บางแห่งมีความรุนแรงเกิดขึ้น ปฏิบัติในสิ่งไม่สมควร รัฐบาลไม่อยากให้เกิดการปะทะ จลาจลในบ้านเมือง รัฐบาลมีหน้าที่รักษาสิทธิ์ของคนไทยทั้งประเทศ สิ่งที่ตนมั่นใจคือ คนไทยทุกคนไม่ว่าจะมีมุมมองด้านการเมืองแบบใด แต่ทุกคนรักชาติ รักวัฒนธรรม รากเหง้า คุณค่าความเป็นไทย และรู้ว่าทุกคนต้องการอนาคตที่ดีแก่ประชาชนและประเทศ รัฐบาลก็พยายามทำอย่างเต็มที่ เราต้องหาหนทางพาประเทศไปสู่อนาคตที่ดีขึ้น อย่างมีหลักการเหตุผล อยู่ใต้กรอบกฎหมาย
“เราต้องไม่ทำลายอดีตที่มีคุณค่าของประเทศที่หยั่งรากลึก ต้องไม่ทำลายอดีตที่มีคุณค่า เพื่อให้ได้สังคมที่แข็งแรง มีรากเหง้า อย่างรากลึกเข้าไปในหัวใจของทุกคน และมีความเจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืน”พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่ออีกว่า ในนามของรัฐบาลรู้ว่า ทุกอย่างต้องเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ตามเทคโนโลยีและดิจิตอล แต่เราต้องยอมรับว่าประเทศไทย คนจำนวนหลายสิบล้านคนไม่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดความวุ่นวาย สับสน อลหม่าน ทุกคนมีความเชื่อของตัวเอง เขาเห็นเขาเชื่อมาตลอดชีวิตของเขา เพราะฉะนั้นเราต้องมีความสมดุลระหว่างความต้องการของแต่ละคนในสังคมด้วย หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ทุกคนจะใช้โอกาสนี้เพื่อปรึกษาหารือ ทุกคนต้องรวบรวมสติปัญญา ความคิด ความสามารถ และหัวใจ รวมทั้งเลือดรักชาติทุกหยดในตัว ร่วมกันคิดและทำในสิ่งที่สร้างสรรค์ที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ เพื่อให้ประเทศเดินหน้าอย่างแข็งแรง มั่นคง และยั่งยืน โดยทำในสิ่งที่ถูกต้อง เป็นประโยชน์ต่อประชาชนในระยะยาว และนำพาประเทศไปพร้อมอนาคตที่ดี และปกป้องอดีตด้วย
“หากสมาชิกรัฐสภามีข้อเสนอใดที่ปฏิบัติได้ เป็นประโยชน์ไม่ก่อให้เกิดปัญหาใหม่ รัฐบาลพร้อมนำไปพิจารณา ส่วนตัวเชื่อว่าสังคมไทยคือการเป็นห่วงซึ่งกันและกัน แม้เราจะมีเรื่องที่ไม่เห็นด้วยแต่เราก็รักกันได้ตลอดไป”พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว