ประเสริฐ จี้บิ๊กตู่ ประกาศลาออกกลางสภา ชี้ถึงเวลาเสียสละเพื่อยุติปัญหา เปิดทางแก้รธน.
“ประเสริฐ” จี้ นายกฯลุกขึ้นประกาศลาออกกลางสภา ย้ำ ถึงเวลาที่ “ประยุทธ์” ต้องเสียสละ เพื่อยุติปัญหา-เปิดทางแก้รธน.
เมื่อเวลา 09.40 น. วันนี้ (26 ต.ค.) ที่รัฐสภา มีการประชุมร่วมรัฐสภาสมัยวิสามัญ ที่มี นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา เป็นประธานการประชุม เพื่ออภิปรายทั่วไป โดยไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 165 โดยก่อนการอภิปรายจะเริ่มต้นขึ้น ที่ประชุมรัฐสภาได้รับทราบพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อน ประกาศพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) เรียกประชุมสมัยวิสามัญแห่งรัฐสภา พ.ศ.2563
จากนั้น เวลา 10.15 น. นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา เลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) อภิปรายว่า การเปิดประชุมสมัยวิสามัญแห่งรัฐสภาในวันนี้เป็นความตั้งของพรรคพท. และพรรคร่วมฝ่ายค้านมาตั้งแต่ต้น โดยร่วมกันเข้าชื่อยื่นคำร้อง ต่อประธานรัฐสภา ตามมาตรา 123 ของรัฐธรรมนูญ เหตุผลที่พรรคร่วมฝ่ายค้านขอเปิดประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญก็ด้วยเห็นว่าบ้านเมือง มีปัญหาสำคัญเร่งด่วนที่รัฐสภาซึ่งเป็นฝ่ายนิติบัญญัติจะต้องร่วมกันหาทางออก อันเป็นปัญหาเดียวกันกับที่รัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรีได้ทำหนังสือแจ้งมายังท่านประธานรัฐสภาเพื่อขอเปิดประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญในวันนี้ แต่ตนขอเรียนว่า มุมมองต่อปัญหาที่เกิดขึ้นของพรรคร่วมฝ่ายค้าน และรัฐบาลมีความแตกต่างกันมาก ดูจากหนังสือที่นายกฯลงนามถึงประธานรัฐสภา จะเห็นได้ว่า นายกรัฐมนตรี และรัฐบาลยังคงมองว่าเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากการที่กลุ่มผู้ชุมนุมซึ่งเป็นนักเรียน นักศึกษา และประชาชนเป็นต้นตอของปัญหาและมุ่งกล่าวโจมตีให้ร้ายกลุ่มผู้ชุมนุมเป็นด้านหลัก เมื่อท่านนายกฯตั้งโจทก์ของปัญหาผิดพลาดโดยโยนความผิดให้กับกลุ่มผู้ชุมนุมเช่นนี้หนทางหรือแนวทางในการแก้ปัญหาก็จะผิดไปด้วย เหมือนที่ท่านได้กระทำต่อผู้ชุมนุมในเหตุการณ์ที่ผ่านมา
นายประเสริฐ กล่าวว่า เมื่อมีการประชุมร่วมกันของรัฐสภาในวันนี้จะมีการพิจารณาปัญหาที่เกิดขึ้น และเสนอแนะทางออกของปัญหาดังกล่าว ตนจึงเห็นว่าสิ่งสำคัญประการแรกและเป็นเรื่องสำคัญที่สุด คือ เราจะต้องดูว่าต้นเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากอะไร ใครคือต้นตอของปัญหาที่แท้จริง และเราจะแก้ปัญหาที่ต้นตอนั้นได้อย่างไร ด้วยวิธีการใด ซึ่งเมื่อเราจะดูถึงต้นตอของปัญหาก็ต้องเริ่มพิจารณาจากข้อเรียกร้องของกลุ่มผู้ชุมนุมก่อนว่าข้อเรียกร้องหลักๆ ของเขาคืออะไร จะเห็นได้ว่าในเบื้องต้นของการชุมนุมนั้นประเด็นหลักที่ผู้ชุมนุมเรียกร้องคือการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเพื่อนำไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่เป็นของประชาชน และยุบสภาจัดการเลือกตั้งใหม่ รวมถึงข้อเรียกร้องให้หยุดคุกคามประชาชน ดังนั้น ต้นตอของปัญหาคือตัวรัฐธรรมนูญ 2560 และเมื่อรัฐธรรมนูญ 2560 คือตัวปัญหา จนเกิดการเรียกร้องให้มีการแก้ไขเพิ่มเติม ตนจะไม่ขออ้างความดีใส่ตัวแต่อย่างใดว่า พรรคพท. ละพรรคร่วมฝ่ายค้านได้มองเห็นปัญหาในรัฐธรรมนูญมาตั้งแต่ประกาศใช้บังคับแล้ว และก็ได้มีการรณรงค์เรียกร้องให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมมาโดยตลอด แต่ข้อเรียกร้องดังกล่าวไม่เคยได้รับการตอบรับจากรัฐบาลเลย
“เมื่อกลุ่มผู้ชุมนุมได้หยิบยกประเด็นดังกล่าวขึ้นมาเรียกร้องรัฐบาลเองก็คาดการณ์ผิดพลาดว่า กลุ่มผู้ชุมนุมจะไม่สามารถจุดติดจึงไม่ได้ให้ราคากับผู้ชุมนุมและไม่ไยดีต่อข้อเสนอดังกล่าว แต่เมื่อการชุมนุมได้ขยายวงกว้างขึ้นทั่วประเทศและมีการชุมนุมกดดันมากขึ้น ส.ส. พรรคร่วมรัฐบาลก็ทำแบบอดเสียมิได้ จึงได้เสนอญัตติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญประกบกับร่างของฝ่ายค้าน แทนที่จะเสนอโดยคณะรัฐมนตรีเพื่อให้เห็นถึงความจริงใจในการแก้ปัญหาของรัฐบาลและนายกฯ ทั้งนี้ ปัญหาเรื่องนี้ควรจะจบได้ในวันที่มีการประชุมร่วมกันของรัฐสภาในสมัยประชุมที่แล้ว ในวาระรับหลักการแต่ ส.ส. พรรคร่วมรัฐบาลกับ ส.ว. ก็ได้ทำให้โอกาสในการแก้ปัญหาเสียไป ด้วยการเสนอให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมาธิการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญก่อนรับหลักการ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่สมควรจะเกิดขึ้น ทั้งที่ในวันนั้นผู้ชุมนุมได้รวมตัวกันมารอฟังผลการพิจารณาถึงหน้ารัฐสภา แต่ก็ต้องผิดหวัง”
นายประเสริฐ กล่าวอีกว่า เหตุผลข้อเรียกร้องในประการ ที่สองของกลุ่มนักเรียน นักศึกษา และประชาชน คือ การขอให้ยกเลิกการคุกคาม ประชาชน ตนเห็นว่าข้อเรียกร้องดังกล่าวมีต้นเหตุ เพราะนับตั้งแต่พล.อ.ประยุทธ์ เข้ายึดอํานาจได้มีการละเมิดและคุกคามประชาชนในรูปแบบต่างๆ มีการออกกฎหมายที่เป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชน นักวิชาการ สื่อมวลชนหลายสิบฉบับ แม้แต่พรรคการเมืองท่านก็ไม่ละเว้น เพื่อลดทอนศักยภาพของพรรคการเมืองมิให้เหนือกว่าพรรคการเมืองที่จะตั้งขึ้นใหม่ เพื่อเป็นฐานสืบทอดอํานาจของท่าน พฤติกรรมการใช้กฎหมายเพื่อเป็นเครื่องมือทางการเมืองได้ถูกนํามาใช้โดยตลอด ในระหว่างพล.อ.ประยุทธ์เป็นหัวหน้า คสช. และนายกฯ ใช้กฎหมายความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ดําเนินคดีกับผู้ที่เห็นต่างจํานวนมาก แม้กระทั่งเมื่อมีการชุมนุม ท่านก็ใช้กฎหมายการชุมนุมสาธารณะจับกุมดําเนินคดี นักศึกษาและประชาชนที่แสดงออกในการวิพากษ์วิจารณ์การทํางานของตน นี่จึงเป็นที่มาของข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมที่ต้องการให้หยุดคุกคามประชาชน แต่แทนที่พล.อ.ประยุทธ์ จะฟังเสียงเรียกร้องดังกล่าวกลับใช้อํานาจตาม พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ออกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงเพื่อจะได้มีข้ออ้างในการจับกุมผู้ชุมนุมได้อีกข้อหาหนึ่ง ผลจากการออกประกาศดังกล่าวแทนที่กลุ่มผู้ชุมนุม จะกลัวกลับมีการชุมนุมที่ขยายวงกว้าง และมีจํานวนผู้ชุมนุมมากขึ้น ท่านกลับให้มีการใช้กําลังสลายการชุมนุมจนเกิดข้อวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ว่าเป็นการกระทําที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน
นายประเสริฐ กล่าวว่า ปัญหาใหม่ และเป็นเรื่องที่น่าห่วงกังวลอย่างยิ่ง ก็คือการใช้มวลชนคนใส่เสื้อเหลืองให้ออกมาแสดงพลังเพื่อต่อต้านการชุมนุม ของนักเรียน นักศึกษา ตนเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน เพราะมีการให้หน่วยงานราชการ เกณฑ์ประชาชนให้ออกมาแสดงพลัง โดยอ้างถึงความจงรักภักดีและมีการถือพระบรมฉายาลักษณ์ในการชุมนุมด้วย เป็นการนําสถาบันพระมหากษัตริย์มาใช้เป็นข้ออ้างเพื่อให้ พล.อ.ประยุทธ์ ยังคงอยู่ในอํานาจต่อไป และทําลายความเชื่อมั่นที่มีต่อนักเรียน นักศึกษา อันเป็นเรื่องสุ่มเสี่ยงที่มวลชนทั้งสองฝ่ายจะเกิดการปะทะกันจนนํามาสู่ความสูญเสียที่ใหญ่หลวง ขณะนี้ได้มีสัญญานที่เป็นลางบอกเหตุถึงวิกฤตที่จะเกิดขึ้นแล้ว จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในมหาวิทยาลัยรามคําแหง เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม ที่ผ่านมา อีกประการคือ กลุ่มผู้ชุมนุมเรียกร้องให้พล.อ.ประยุทธ์ ลาออกจากตําแหน่ง ซึ่งข้อเรียกร้องนี้มิใช่ว่า เพิ่งจะเกิดขึ้นในรัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์เท่านั้น แต่เกิดขึ้นในหลายรัฐบาลก่อนหน้า และมิใช่เป็นเรื่องที่เหนือวิสัยที่พล.อ.ประยุทธ์จะทําได้
“ผมจึงเห็นว่า ข้อเรียกร้องในการให้พล.อ.ประยุทธ์ ลาออกจากตําแหน่ง เป็นหนทางที่จะทําให้ปัญหาทั้งหมดยุติลงได้ หนทางที่การชุมนุมจะยุติลงได้ก็ด้วยการที่รัฐสภาแห่งนี้จะลงมติรับหลักการร่าง รัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม ทั้งของพรรคร่วมฝ่ายค้าน ของ ส.ส. ฝ่ายรัฐบาล และของ ประชาชนที่เข้าชื่อกันเสนอ และหลังจากรับหลักการแล้วก็ให้มีการตั้ง กมธ.เต็มสภาเพื่อพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมร่างรัฐธรรมนูญทั้งสามฉบับไปพร้อมกันเพื่อพิจารณาในวาระที่สอง และที่สามต่อไปโดยจะต้องเร่งรัดการดําเนินการดังกล่าว ให้เป็นไปด้วยความรวดเร็วเพื่อให้กระบวนการตั้งเลือกตั้ง ส.ส.ร. และการจัดทํา รัฐธรรมนูญฉบับใหม่เป็นไปด้วยความรวดเร็ว”
“วันนี้ผมขอเรียกร้องให้พล.อ.ประยุทธ์ ยืนขึ้นแล้วประกาศกลางที่ประชุมของรัฐสภาแห่งนี้ว่า ตนขอลาออกจากตําแหน่งนายกรัฐมนตรี เพื่อให้ กระบวนการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญได้ดําเนินการต่อไปและมีการเลือกนายกรัฐมนตรี คนใหม่ตามกระบวนการที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญหลังจากทํารัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสร็จ ก็ยุบสภาเพื่อจัดการเลือกตั้งใหม่ ตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่ร่างโดยประชาชน และเพื่อ ประชาชนอย่างแท้จริงต่อไป เหตุที่ผมต้องขอให้ท่านลาออกจากตําแหน่งนายกรัฐมนตรีนอกจาก เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งที่ท่านกระทํามาในอดีตแล้ว การลาออกของท่านจะทํา ให้การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญและการลงมติของ ส.ส. ฝ่ายรัฐบาลและ ส.ว. ไม่ต้อง ถูกกดดันจากท่านอีกต่อไป แต่หากท่านเลือกที่จะยุบสภาผู้แทนราษฎร ผลที่ตามมาคือสิ่งที่เป็น ข้อเรียกร้องให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญก็ไม่อาจจะเดินต่อไปได้ อันจะทําให้ปัญหา ความขัดแย้งทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นต่อไป ผมจึงขอให้ พล.อ.ประยุทธ์จะต้องเสียสละแล้ว เพื่อประโยชน์ ของประเทศและประชาชน” นายประเสริฐ กล่าว