รีเซต

SCCไตรมาส4ยังคงท้าทาย เน้นลดหนี้-รักษาแคชโฟลว์

SCCไตรมาส4ยังคงท้าทาย เน้นลดหนี้-รักษาแคชโฟลว์
ทันหุ้น
26 พฤศจิกายน 2568 ( 18:09 )

#SCC #ทันหุ้น – SCC ชี้แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 4/2568 ยังมีความท้าทายอยู่มาก จึงให้ความสำคัญกับการควบคุมและลดหนี้สิน เพื่อรักษางบดุลให้แข็งแกร่ง ซึ่งธุรกิจซีเมนต์ยังคงเป็นธุรกิจที่ช่วยสร้างการเติบโต ขณะที่ธุรกิจปิโตรเคมีคาดว่าจะกลับมาฟื้นตัวในช่วงปี 2571 และจะเป็นตัวช่วยดันให้ EBITDA โตเกิน 60,000 ล้านบาท โบรกมองภาพรวมธุรกิจปี 2569 เริ่มฟื้นตัว 

นางจันทนิดา  สาริกะภูติ  ประธานเจ้าหน้าที่สายการเงิน บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC เปิดเผยว่า แนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 4/2568 สถานการณ์ยังมีความไม่แน่นอนทั้งเรื่องภาษีการค้าสหรัฐ และอาจเกิดการหยุดชะงักใน Global Supply Chain ซึ่งทางเศรษฐกิจไทยใน Q3 มีตัวเลขการเติบโตต่ำสุดในอาเซียน รวมถึงยังมีปัจจัยทางการเมืองในไทย ซึ่งรัฐบาลปัจจุบันพยายามช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างเต็มที่ และคาดว่านักท่องเที่ยวจีนจะกลับมาที่ไทย เป็นแรงหนุนที่ดีต่อเศรษฐกิจ
               

ขณะที่สถานการณ์น้ำท่วมในภาคใต้ แม้ว่าส่งผลกระทบต่อผู้แทนจำหน่ายของบริษัทในบางพื้นที่บ้าง แต่โรงงานและสถานที่หลักของบริษัท ไม่ได้รับผลกระทบ

@ รักษากระแสเงินสด

ในสถานการณ์ปัจจุบันสิ่งที่บริษัทให้ความสำคัญสูงสุด คือการควบคุมและลดหนี้สิน เพื่อรักษาความมั่นคงแข็งแรงของงบดุล โดยบริษัทให้ความสำคัญกับกระแสเงินสด (Cash Flow) มาโดยตลอด และสามารถสร้างกระแสเงินสดได้ดีแม้ในสถานการณ์ที่ท้าทาย รวมถึงการหยุดดำเนินการสินทรัพย์ที่ไม่ทำกำไร และการขายสินทรัพย์ที่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก เพื่อนำเงินไปใช้ในการลงทุนและลดหนี้

                ซึ่งในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา บริษัทลดหนี้สินสุทธิได้ 32,000 ล้านบาท โดย ณ สิ้นเดือนกันยายน 2568 บริษัทมีหนี้สินสุทธิอยู่ที่ 279,000 ล้านบาท ขณะที่มีนโยบายเงินปันผลคือ 40-50% ของกำไรสุทธิ แต่เนื่องจากสถานการณ์ จึงให้แนวทางที่สอดคล้องกับกระแสเงินสดที่ทำได้ โดยในครึ่งปีแรก 2568 บริษัทได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปที่ 2.50 บาท ซึ่งสูงถึงกว่า 90% ของกำไรสุทธิ แสดงถึงความตั้งใจที่จะดูแลผู้ถือหุ้น

อย่างไรก็ดีแนวโน้มอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและโครงการ LSP คาดว่าการฟื้นตัวหลักๆ ขึ้นอยู่กับปริมาณอุปทานใหม่ที่จะเข้ามา ซึ่งประเมินว่าอุตสาหกรรมโดยรวมจะเริ่มกลับมาดีขึ้นได้ในช่วงปี 2571 เป็นต้นไป เนื่องจากอุปทานส่วนเกินจะเริ่มลดลง ขณะที่ ในช่วงปี 2569-2570 อุตสาหกรรมอาจยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่มีลักษณะการฟื้นตัวแบบไซด์เวย์ ส่วนโครงการ LSP ยังคงเป็นไปตามแผนการ ดังนั้นจึงมั่นใจว่าเมื่อธุรกิจปิโตรเคมีกลับมาดีขึ้นคาดว่า EBITDA ของบริษัทจะกลับมาเกิน 60,000 ล้านบาท

 @ธุรกิจซีเมนต์โต

ขณะที่ธุรกิจซีเมนต์และวัสดุก่อสร้าง ยังเป็นธุรกิจหลักที่สร้างการเติบโตในช่วงปัจจุบัน แม้ว่าจะอยู่ในสถานการณ์เศรษฐกิจที่ท้าทาย ซึ่งช่วยสร้างเสถียรภาพให้กับบริษัท โดยกลยุทธ์หลักจะเน้นไปที่ปูนซีเมนต์คาร์บอนต่ำ (Low Carbon Cement) ซึ่งเกือบทั้งหมดในไทยเป็นปูนคาร์บอนต่ำแล้ว และกำลังขยายไปยังประเทศอื่น ๆ

                ทั้งนี้ตลาดซีเมนต์ในอาเซียนเติบโตได้ดี โดยเฉพาะเวียดนาม เติบโตขึ้น 10% ในไตรมาส 3/2568 จากโครงการก่อสร้าง ส่วนกัมพูชาแม้ว่าจะมีประเด็นความขัดแย้งชายแดน แต่เชื่อว่าความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ยังเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีการลงทุนจากต่างชาติโดยเฉพาะจีน ขณะที่อินโดนีเซียตลาดค่อนข้างนิ่ง อาจมีการสะดุดในช่วงเปลี่ยนรัฐบาล แต่คาดว่าการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานจะกลับมาในอนาคต ทำให้ยังมีโอกาสเติบโต

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง