รีเซต

“อธิปไตยต้องมาก่อน” ยศชนันท์ วางกรอบ 2 ระยะแก้ชายแดนไทย–กัมพูชา

“อธิปไตยต้องมาก่อน” ยศชนันท์ วางกรอบ 2 ระยะแก้ชายแดนไทย–กัมพูชา
TNN ช่อง16
24 ธันวาคม 2568 ( 07:40 )
19

ยศชนันท์ วางกรอบแก้ชายแดนไทย–กัมพูชา เดินคู่ Green Premium รับมือโลกเดือด

ยศชนันท์ วงศ์สวัสดิ์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจาก พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ TNN โดยเจาะเฉพาะประเด็นความมั่นคงชายแดนไทย–กัมพูชา การรับมือภัยพิบัติ และแนวคิดเศรษฐกิจสีเขียว ซึ่งถูกมองว่าเชื่อมโยงกันโดยตรงกับเสถียรภาพทางการเมืองและอนาคตของประเทศ

ชายแดนไทย–กัมพูชา ต้องชัดเรื่องอธิปไตย ควบคู่กติกาโลก

ยศชนันท์อธิบายว่า การแก้ปัญหาชายแดนไทย–กัมพูชาจำเป็นต้องแบ่งเป็นสองระยะ ระยะปัจจุบันคือการปกป้องอธิปไตยของประเทศอย่างเด็ดขาด ภายใต้กรอบกฎหมายระหว่างประเทศ สิทธิมนุษยชน และหลักการของสหประชาชาติ เพื่อลดผลกระทบต่อประชาชนและกำลังพลให้มากที่สุด

ในระยะกลาง ยศชนันท์เสนอให้ประเทศไทยทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางความร่วมมือระดับภูมิภาค โดยเฉพาะการจัดการปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติและขบวนการสแกมเมอร์ ซึ่งถูกมองว่าเป็นหนึ่งในท่อน้ำเลี้ยงของความขัดแย้ง การเชิญประเทศที่ได้รับผลกระทบเข้ามามีส่วนร่วมในฐานะพยานหรือผู้สนับสนุน จะช่วยลดแรงตึงเครียดและเปิดทางสู่การยุติปัญหาในกรอบทวิภาคีระหว่างไทยกับกัมพูชา

การอยู่ร่วมกันต้องไม่แลกอธิปไตย

ยศชนันท์ย้ำว่า การอยู่ร่วมกับประเทศเพื่อนบ้านต้องตั้งอยู่บนศักดิ์ศรีและอธิปไตยของไทยเป็นหลัก พร้อมชี้ว่าความได้เปรียบของไทยอยู่ที่บทบาทการเชื่อมโยงของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การสร้างความต่อเนื่องของซัพพลายเชนและการคมนาคม จะทำให้พื้นที่รอยต่อชายแดนสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ มีรายได้ และไม่ตกอยู่ในภาวะความหวาดระแวง

ภัยพิบัติไม่ใช่เรื่องเฉพาะหน้า แต่คือผลจากโลกร้อน

ในประเด็นภัยพิบัติ ยศชนันท์ระบุว่า บทเรียนจากน้ำท่วมหลายพื้นที่ รวมถึงกรณีหาดใหญ่ ชี้ชัดว่าการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไม่เพียงพอ ต้นตอสำคัญคือภาวะโลกร้อนและก๊าซเรือนกระจก น้ำระบายไม่ได้เพราะระดับทะเลสูงขึ้น การลดการปล่อยอย่างเดียวไม่พอ หากไม่มุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero อย่างจริงจัง

ยศชนันท์เปรียบเทียบสถานการณ์โลกร้อนเหมือนอ่างน้ำที่น้ำไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง หากลดการไหลเข้าแต่ไม่หยุด น้ำก็ยังล้นอยู่ดี ดังนั้นเป้าหมายศูนย์สุทธิจึงเป็นเงื่อนไขสำคัญของความอยู่รอดในระยะยาว


Green Premium ทำของรักษ์โลกให้ถูกกว่า

แนวคิดสำคัญที่ยศชนันท์หยิบยกขึ้นมาคือ Green Premium หรือการทำให้สินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมีราคาต่ำกว่าสินค้าที่ปล่อยคาร์บอนสูง เมื่อราคาต่ำกว่า ผู้บริโภคจะเปลี่ยนพฤติกรรมโดยอัตโนมัติ และผู้ผลิตเดิมจะต้องปรับตัวตามกลไกตลาด

การทำให้เกิด Green Premium จำเป็นต้องอาศัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขั้นลึก ทั้งชีววิทยาสังเคราะห์ วัสดุศาสตร์ และนวัตกรรมพลังงานสะอาด โดยเปิดทางให้การลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาเสริมองค์ความรู้ พร้อมส่งเสริมสตาร์ทอัพและ SME ด้านออร์แกนิกและเทคโนโลยีสีเขียว เพื่อสร้างผู้เล่นรายใหม่และสมดุลใหม่ในระบบเศรษฐกิจ

จัดการน้ำแบบบูรณาการ ควบคู่โลจิสติกส์คาร์บอนต่ำ

ยศชนันท์มองว่าการจัดการน้ำต้องเป็นระบบ ตั้งแต่ป่าต้นน้ำ การส่งน้ำเพื่อเกษตร การระบาย และการกักเก็บ แต่ละพื้นที่ต้องใช้โครงสร้างที่เหมาะสม ไม่จำเป็นต้องเป็นโครงการขนาดใหญ่เสมอไป การเบี่ยงน้ำ การเชื่อมโยงลุ่มน้ำ และการระบายจากภาคอีสานสู่แม่น้ำโขง ควรเดินคู่ขนานกับโครงสร้างคมนาคมและโลจิสติกส์คาร์บอนต่ำ เพื่อช่วยลดต้นทุนการขนส่งและความเสี่ยงจากภัยพิบัติ

การศึกษา คือรากฐานที่ทำให้ประเทศยืนได้เอง

ประเด็นสุดท้ายที่ยศชนันท์ต้องการเน้นย้ำคือการศึกษา โรงเรียนและมหาวิทยาลัยควรเป็นแหล่งกำเนิดแรงบันดาลใจ และเป็นศูนย์บ่มเพาะอาชีพตลอดชีวิต ไม่จำกัดเฉพาะเยาวชน แต่เปิดโอกาสให้ทุกช่วงวัยเข้าถึงการเรียนรู้และสร้างอาชีพอย่างยั่งยืน

ยศชนันท์มองว่าหากระบบการศึกษามั่นคง ประชาชนจะสามารถยืนด้วยลำแข้งของตนเองได้ อาชีพเล็กทุกอาชีพคือฟันเฟืองของประเทศ และผู้นำที่ดีคือผู้ส่งมอบประเทศในสภาพที่สามารถเดินหน้าต่อได้อย่างมั่นคง ไม่ว่าผู้บริหารในอนาคตจะเป็นใคร

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง