ต่างด้าว-วีซ่าท่องเที่ยว-ร้านรถเข็น ระบบหลวมที่เปิดช่องให้แย่งอาชีพคนไทย

ปฏิบัติการคืนเดียวกลางข้าวสาร
คืนวันที่ 20 พฤษภาคม 2568 เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองกองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 1 (บก.ตม.1) ร่วมกับ สน.ชนะสงคราม ลงพื้นที่ตรวจสอบถนนข้าวสารและถนนรามบุตรี ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของกรุงเทพมหานคร ภายใต้นโยบายเข้มของ พล.ต.ท.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ที่สั่งการให้หน่วยงานในสังกัดเร่งกวาดล้างแรงงานผิดกฎหมาย โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยงสูงที่อาจเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์หรือการบังคับใช้แรงงาน
จากการลงพื้นที่ดังกล่าว เจ้าหน้าที่พบแรงงานต่างด้าวชายจำนวน 8 ราย กำลังขายอาหารและของกินบนทางเท้า ทั้งในลักษณะร้านรถเข็นและหน้าร้าน โดยตรวจพบว่าทั้งหมดไม่มีใบอนุญาตทำงาน บางรายไม่มีแม้แต่หนังสือเดินทาง โดยแบ่งเป็นชาวเมียนมาร์ 7 ราย และชาวตุรกี 1 ราย รายหลังถูกพบว่ากำลังขายไอศกรีมแบบเตอร์กิชซึ่งได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยว ชายคนดังกล่าวเดินทางเข้าประเทศด้วยวีซ่าท่องเที่ยวแต่กลับประกอบอาชีพอย่างชัดเจน
วีซ่าท่องเที่ยวที่กลายเป็นบัตรผ่านทำงาน?
กรณีชาวตุรกีขายไอศกรีมในพื้นที่ท่องเที่ยวไม่ใช่เหตุการณ์โดดเดี่ยว แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ในหลายพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นนักท่องเที่ยวที่เปิดร้านโรตี เคบับ หรือไอศกรีมในย่านท่องเที่ยวชื่อดังของไทย กลายเป็นภาพคุ้นตาของประชาชนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา การใช้วีซ่าท่องเที่ยวเพื่อเข้ามาประกอบอาชีพ เป็นช่องโหว่ของระบบตรวจสอบที่ยังไม่สามารถจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ปัญหาดังกล่าวเชื่อมโยงไปถึงความล้มเหลวของระบบบูรณาการระหว่างหน่วยงานออกวีซ่า การควบคุมแรงงาน และการอนุญาตทำงาน กรณีที่เกิดขึ้นในถนนข้าวสารจึงสะท้อนถึงจุดอ่อนของรัฐในการแยกบทบาทของนักท่องเที่ยวกับแรงงานผิดกฎหมายออกจากกันอย่างชัดเจน
สถิติเผยการแย่งอาชีพคนไทยยังคงเพิ่ม
จากข้อมูลของกระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางาน พบว่าการลักลอบประกอบอาชีพสงวนของแรงงานต่างด้าวยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีการเร่งปราบปรามก็ตาม โดยในปีงบประมาณ 2565 มีการตรวจสอบนายจ้างและสถานประกอบการรวม 35,258 แห่ง พบแรงงานต่างด้าวแย่งอาชีพคนไทยจำนวน 918 ราย
ปีงบประมาณ 2566 (ระหว่าง 1 ตุลาคม 2565 ถึง 29 ธันวาคม 2565) มีการตรวจสอบแล้ว 17,476 แห่ง พบการกระทำผิด 295 ราย ขณะที่ในปีงบประมาณ 2567 ตัวเลขเพิ่มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยตรวจสอบสถานประกอบการแล้ว 63,213 แห่ง ดำเนินคดีกับนายจ้าง 2,156 ราย ตรวจสอบแรงงานต่างด้าวจำนวน 851,194 คน และพบว่ามีแรงงานผิดกฎหมายแย่งอาชีพคนไทยถึง 1,558 ราย
ตัวเลขนี้แสดงให้เห็นว่าแม้เจ้าหน้าที่จะลงพื้นที่ตรวจสอบมากขึ้น แต่จำนวนการฝ่าฝืนก็ยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในระดับประเทศ
ร้านนวดไทยคืออีกพื้นที่เสี่ยง
ข้อมูลล่าสุดจากการลงพื้นที่ตรวจสอบของกรมการจัดหางานในห้างสรรพสินค้าย่านลาดพร้าว พบว่าในร้านนวดแผนไทยจำนวน 18 แห่ง มีแรงงานต่างด้าวกระทำผิดถึง 14 ราย แบ่งเป็นผู้ที่ทำงานนอกเหนือจากที่ได้รับอนุญาต 9 ราย และไม่มีใบอนุญาตทำงานเลย 5 ราย รวมทั้งตรวจพบนายจ้างฝ่าฝืนกฎหมายอีก 4 ราย
การตรวจสอบนี้ดำเนินการตามคำสั่งของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ ที่ต้องการรักษาโอกาสในการมีงานทำของคนไทย พร้อมเน้นย้ำว่ามีอาชีพสงวนที่คนต่างด้าวห้ามทำโดยเด็ดขาด เช่น การขายของ, ขายอาหาร, นวดแผนไทย, ช่างตัดผม และมัคคุเทศก์
บังคับใช้กฎหมายแรง แต่ระบบยังอ่อน
แม้กฎหมายจะกำหนดบทลงโทษชัดเจน ทั้งค่าปรับ และการห้ามจ้างงานซ้ำ รวมถึงการผลักดันส่งกลับประเทศต้นทาง แต่ปัญหานี้ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่เพียงเพราะแรงงานต่างด้าวพยายามหลีกเลี่ยงกฎหมาย แต่ยังรวมถึงนายจ้างบางรายที่พร้อมละเมิดกฎเพื่อแลกกับแรงงานราคาถูก
บทลงโทษตามพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 ระบุว่า หากพบแรงงานทำงานโดยไม่มีใบอนุญาต จะมีโทษปรับตั้งแต่ 5,000 – 50,000 บาท และถูกส่งกลับประเทศ พร้อมถูกห้ามขอใบอนุญาตทำงานใหม่เป็นเวลา 2 ปี สำหรับนายจ้างที่จ้างแรงงานผิดกฎหมาย มีโทษปรับสูงสุด 200,000 บาทต่อราย และห้ามจ้างคนต่างด้าวเป็นเวลา 3 ปี
โจทย์ใหญ่ของรัฐไทย
สิ่งที่เกิดขึ้นในถนนข้าวสารอาจเป็นเพียงภาพเล็กของปัญหาใหญ่ที่กำลังคุกกรุ่นในโครงสร้างแรงงานไทย เมื่ออาชีพระดับรากหญ้าอย่างร้านรถเข็น กลายเป็นพื้นที่แข่งขันที่ไม่เท่าเทียม การป้องกันการแย่งอาชีพคนไทยจึงไม่อาจพึ่งแค่การจับกุมหรือการตั้งด่านตรวจสอบเท่านั้น
รัฐต้องกลับไปทบทวนระบบการออกวีซ่า การควบคุมการเคลื่อนย้ายแรงงาน การบูรณาการข้อมูลระหว่างหน่วยงาน และการสร้างกลไกที่ปกป้องแรงงานไทยในระดับท้องถิ่นอย่างเป็นระบบ มิฉะนั้นอาชีพที่ควรเป็นพื้นที่ปลอดภัยของคนไทย จะถูกเบียดขับจนไม่เหลือที่ยืนในอนาคต