หลักฐานวิทยาศาสตร์ชี้ เหตุอุกกาบาตถล่มเมืองในคัมภีร์ไบเบิลเกิดขึ้นจริง เมื่อ 3,600 ปีก่อน
คณะนักวิทยาศาสตร์และนักโบราณคดีจากนานาชาติ เผยผลการศึกษาล่าสุดเกี่ยวกับโบราณสถานเมืองทัลล์-เอล-ฮัมมัม (Tall-el-Hammam) ในประเทศจอร์แดน โดยชี้ว่าหลักฐานต่าง ๆ ที่ได้ค้นพบตลอดการวิจัย 15 ปีที่ผ่านมา ล้วนยืนยันว่าสถานที่แห่งนี้เคยถูกอุกกาบาตถล่ม จนราบเป็นหน้ากลองในชั่วพริบตาเมื่อ 3,600 ปีก่อน
รายงานวิจัยดังกล่าวตีพิมพ์ลงในวารสาร Scientific Reports เมื่อวันที่ 20 ก.ย. โดยทีมผู้เชี่ยวชาญด้านโบราณคดีและวิทยาศาสตร์จากสหรัฐฯ แคนาดา และสาธารณรัฐเช็ก ซึ่งร่วมกันขุดค้นและวิเคราะห์หลักฐานต่าง ๆ มานานถึง 15 ปี ชี้ว่าเหตุระเบิดจากอุกกาบาตที่มีอานุภาพทำลายล้างรุนแรงดังกล่าวเคยเกิดขึ้นจริง ณ สถานที่ซึ่งอาจเป็นเมืองโซดอม (Sodom) ตามที่มีการบันทึกไว้ในคัมภีร์ไบเบิล
มีการขุดค้นชั้นดินโบราณหนา 1.5 เมตร ทางตอนเหนือของทะเลสาบเดดซี ซึ่งชั้นดินนี้มีสภาพเหมือนถูกเผาไหม้ด้วยความร้อนสูง จนเนื้อดินเต็มไปด้วยเถ้าถ่านรวมทั้งซากอิฐและเครื่องปั้นดินเผาที่หลอมละลายจำนวนมาก โดยลักษณะของซากวัสดุเหล่านี้ชี้ว่ามันต้องถูกเผาไหม้ด้วยความร้อนในระดับมหาศาล คิดเป็นอุณหภูมิที่สูงกว่าการเกิดภูเขาไฟระเบิด หรือเหตุเพลิงไหม้จากการทำสงครามในยุคโบราณ
จากการใช้แบบจำลองคอมพิวเตอร์ เพื่อคำนวณหาความเป็นไปได้ว่าการทำลายล้างในระดับดังกล่าวเกิดขึ้นจากสาเหตุใดกันแน่ ทีมผู้วิจัยพบว่ามีเพียงระเบิดนิวเคลียร์และการพุ่งชนของอุกกาบาตอย่างรุนแรงเท่านั้น ที่จะทำให้เกิดซากโบราณสถานแบบเมืองทัลล์-เอล-ฮัมมัม ขึ้นได้
นักวิทยาศาสตร์ประมาณการว่า อุกกาบาตนี้มีความกว้างราว 17-20 เมตร ซึ่งใกล้เคียงกับหินอวกาศที่ทำให้เกิดเหตุระเบิดครั้งใหญ่ตรงที่ราบตุงกุสคา (Tunguska) ในเขตไซบีเรียของรัสเซียเมื่อปี 1908 โดยเหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้ป่าสนหิมะถูกถล่มราบและมีต้นไม้ล้มถึง 80 ล้านต้น
มีการค้นพบเม็ดหินควอตซ์และอนุภาคของวัสดุที่มีความแข็งคล้ายเพชรในชั้นดินของเมืองทัลล์-เอล-ฮัมมัมด้วย ซึ่งแสดงว่าอุกกาบาตจะต้องทำให้เกิดการระเบิดที่มีแรงดันสูงถึง 5 กิกะปาสคาล และอุณหภูมิร้อนแรงสูงสุดถึง 2,500 องศาเซลเซียส จนสามารถเปลี่ยนไม้และพืชในเมืองให้กลายเป็นวัสดุที่มีคุณสมบัติคล้ายเพชรได้
เกิดอะไรขึ้นเมื่อ 3,600 ปีก่อน
บทสรุปจากการรวบรวมและวิเคราะห์หลักฐานจำนวนมาก ทำให้ทีมผู้วิจัยสามารถลำดับเหตุการณ์ได้ว่า หายนะภัยจากนอกโลกที่ทำลายล้างเมืองโบราณแห่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร
ดร. ฟิล ซิลเวีย นักโบราณคดีผู้ขุดค้นศึกษาซากเมืองทัลล์-เอล-ฮัมมัม และคณะ เปิดเผยในบทความที่พวกเขาร่วมกันเขียนลงในเว็บไซต์ The Conversation ว่าเหตุอุกกาบาตถล่มเมืองดังกล่าวเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในชั่วพริบตา โดยหินอวกาศขนาดไม่ใหญ่นักพุ่งผ่านบรรยากาศโลกมาด้วยความเร็ว 61,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และเกิดระเบิดขึ้นบนท้องฟ้าที่ความสูง 4 กิโลเมตรเหนือพื้นดิน
แรงระเบิดของอุกกาบาตนี้มีพลังทำลายล้างสูง เทียบได้กับการจุดชนวนระเบิดปรมาณูที่ถล่มเมืองฮิโรชิมาพร้อมกัน 1,000 ลูก ผู้ที่จ้องมองขึ้นไปบนท้องฟ้าในเวลานั้นจะต้องตาบอดทันทีด้วยแสงสว่างเจิดจ้า อุณหภูมิที่พุ่งขึ้นอย่างฉับพลันถึงกว่า 2,000 องศาเซลเซียส เผาไหม้ทุกสิ่งให้เป็นเถ้าถ่านในทันที
คลื่นกระแทกที่เกิดขึ้นในไม่กี่วินาทีถัดมา ทำให้เกิดกระแสลมกรดความเร็ว 1,200 กิโลเมตรต่อชั่วโมงพุ่งเข้าพัดทำลายตัวเมืองจนราบคาบ โดยลมพายุจากคลื่นกระแทกนี้มีพลังรุนแรงยิ่งกว่าพายุทอร์นาโดครั้งใด ๆ ที่บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ ทำให้ตัวอาคารสูง 12 เมตรของพระราชวัง 4 ชั้น ปลิวลอยไปตกที่หุบเขาซึ่งอยู่ห่างออกไปมาก
แน่นนอนว่าชาวเมืองราว 8,000 คนนั้น ไม่มีผู้ใดรอดชีวิต พวกเขาถูกเผาไหม้จนเป็นเถ้าถ่าน และซากกระดูกที่หลงเหลืออยู่บ้างก็แตกละเอียดเพราะแรงระเบิด ในเวลาไม่กี่นาทีต่อมา คลื่นความร้อนและคลื่นกระแทกพลังมหาศาลนี้ยังแผ่ไปถึงเมืองเจริโค (Jericho) ที่อยู่ห่างออกไปทางตะวันตก 22 กิโลเมตร ทำให้เมืองแห่งนั้นต้องล่มสลายลงในชั่วพริบตาด้วยเช่นกัน
หลังเหตุอุกกาบาตถล่มเมืองในครั้งนั้น ไม่มีผู้เข้าไปอยู่อาศัยหรือลงหลักปักฐานทำการเกษตรในพื้นที่ดังกล่าวรวมทั้งบริเวณโดยรอบ ตลอดช่วงเวลาถึง 600 ปีถัดจากนั้น ซึ่งทีมผู้วิจัยสันนิษฐานว่า แรงระเบิดของอุกกาบาตทำให้น้ำเค็มในทะเลสาบเดดซีระเหยหรือถูกพัดพาไปลงในดินทั่วบริเวณดังกล่าว ซึ่งทำให้ดินเค็มจัดจนไม่อาจทำการเพาะปลูกได้
โศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นกับเมืองทัลล์-เอล-ฮัมมัม ซึ่งอาจเป็นแห่งเดียวกับเมืองโซดอมที่ถูกพระเจ้าทำลายล้างเป็นการลงโทษในคัมภีร์ไบเบิล ถือได้ว่าเป็นเรื่องราวหายนะครั้งใหญ่หลวงเรื่องแรก ที่มีการบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษรในประวัติศาสตร์ของอารยธรรมมนุษย์