รีเซต

โผหุ้นรับอานิสงส์เอลนีโญ ชูCBG-EASTW-CPFเด่น

โผหุ้นรับอานิสงส์เอลนีโญ ชูCBG-EASTW-CPFเด่น
ทันหุ้น
18 กรกฎาคม 2566 ( 21:45 )
109

สแกน 10 หุ้น รับมือปรากฏการณ์เอลนีโญ ที่ปีนี้คาดรุนแรงกว่าปกติ คาดกลุ่มเกษตร โรงไฟฟ้า STA, KSL, GFPT, CKP กระทบหนัก ส่วนกลุ่มอาหารสัตว์ กลุ่มธุรกิจน้ำดิบ-น้ำประปา เครื่องดื่ม กลุ่มการเงิน CPF, ASIAN,EASTW, CBG, SAWAD, MTC ได้ประโยชน์ เต็มๆ คาดกำไรเติบโตดี

 

ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยในบทวิเคราะห์ว่า หลังจาก องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) ของสหประชาชาติ ออกมาประกาศว่า ปรากฏการณ์ “เอลนีโญ” ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว และยังคาดการณ์ว่าในครั้งนี้จะรุนแรงขึ้นมากกว่าเดิม โดยอุณหภูมิจะค่อยๆ สูงขึ้น และในปี 2567 มีแนวโน้มทำลายสถิติอันดับ 1 ของปี 2559ที่เป็นปีที่ร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์

 

ขณะที่ค่าดัชนีชี้วัดที่คำนวณจากค่าอุณหภูมิที่ผิวน้ำทะเล (SST) ที่เปลี่ยนไปจากค่า อุณหภูมิน้ำทะเลปกติ หรือ Oceanic Nino Index (ONI) ล่าสุดอยู่ที่ 0.47 องศาเซลเซียส ซึ่งเข้าใกล้ระดับของการเกิดปรากฏการณ์เอลนีโญมากขึ้นเรื่อยๆ (ONI > 0.5) อีกทั้งอุณหภูมิบนพื้นผิวโลกยังมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในทุกปี

 

ส่วนกรมอุตุนิยมวิทยาในบ้านเรา ก็ออกมาเตือนถึงปรากฏการณ์นี้เช่นกัน โดยคาด ว่า เอลนีโญจะมีกำลังแรงขึ้นในช่วงปลายฝนนี้ต่อเนื่องไปจนถึงฤดูร้อนของปีหน้า โดยเมื่อพิจารณาปริมาณน้ำฝนของไทยในปัจจุบัน (เส้นสีแดง) ถือว่าอยู่ในระดับต่ำกว่าค่า ปกติ (เส้นสีน้ำเงิน) ซึ่งหลังจากนี้ประเทศไทยอาจจะต้องเผชิญกับความแห้งแล้งมากขึ้น

 

*หุ้นได้/เสียประโยชน์

จากปัจจัยดังกล่าว ฝ่ายวิจัยทำการค้นหา “หุ้นรับมือผลกระทบเอลนีโญ” โดยการเปรียบเทียบกับ ปี 2558 ที่เกิดปรากฏการณ์เอลนีโญ แรงกว่าปกติ ตอนนั้น พบว่า SET Index มีกำไรสุทธิ ลดลง 7% จากปีก่อน เหลือ 6.56 แสนล้านบาท โดย Sector ที่ลงแรงถูกกดดันจากประเด็นดังกล่าว อาทิ กลุ่มเกษตร กำไรสุทธิลดลง -37% จากปีก่อนขณะที่กลุ่มอาหาร และการเงิน กำไรยังเติบโตได้ดี 5% และ 7% ตามลำดับ

 

และหากลงรายละเอียดเป็นรายหุ้น พบว่า หุ้นที่อาจได้รับผลกระทบจากเอลนีโญ (ภัยแล้งหนัก ฝนขาดช่วง) คือ กลุ่มเกษตร อาทิ STA-KSL-GFPT และกลุ่มพลังงานน้ำ อาทิ CKP ที่กำไรมีการลดลงเฉลี่ยในช่วงปี 2558 - 2559 ในทางตรงกันข้ามมีหุ้นที่ได้ Sentiment เชิงบวก แบบเชิงประจักษ์ หรือมีกำไรเพิ่มขึ้น เฉลี่ยในช่วงปี 2558 - 2559 คือ

 

กลุ่มอาหารครบวงจร CPF ซึ่งน่าจะส่งผ่านต้นทุนไปสู่ ผู้บริโภคได้, กลุ่มอาหารสัตว์ ASIAN ยอดขายมีโอกาสเพิ่มจากสัตว์เลี้ยงอาจบริโภค อาหารและน้ำในช่วงแล้งสูงขึ้นได้, กลุ่มธุรกิจน้ำดิบ-น้ำประปา อาทิ EASTW คาดในช่วงสั้น ปริมาณน้ำสำรองในแหล่งเก็บน้ำจะยังคงมีเพียงพอต่อการบริหารจัดการ

 

*CBG เครื่องดื่มขายดี

โดยสภาวะภัยแล้งจากเหตุการณ์เอลนีโญ คาดจะเป็นแรงหนุนให้กลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมมีปริมาณน้ำสำรองน้อยลง และหันมาเรียกซื้อน้ำกับทางผู้ประกอบการ น้ำดิบมากขึ้น, กลุ่มเครื่องดื่ม (หากอากาศร้อนขึ้น) ดีต่ออุปสงค์ธุรกิจเครื่องดื่ม CBG, รวมถึงกลุ่มการเงิน SAWAD, MTC

 

บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุถึง CBG ว่า กำไรเข้าสู่วัฏจักรการเติบโตรอบใหม่ตั้งแต่ไตรมาส 2/2566 ประเมินกำไรสุทธิที่ 436 ล้านบาท (-41% YoY, +65% QoQ) กำไรฟื้นตัว QoQ จาก 1.รายได้รวมที่ฟื้นตัว +13% QoQ จากรายได้เครื่องดื่มชูกำลังในประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้น +27% QoQ โดยคาด Market Share ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 22% จาก 21% ในเดือนมีนาคม เนื่องจากรับรู้ผลกระทบเชิงบวกจากการปรับราคาของคู่แข่งเต็มไตรมาส และรุกทำโปรโมชั่นเพื่อกระตุ้นยอดขายร่วมกับไทยรัฐ, 

 

ด้านรายได้ต่างประเทศฟื้นตัว +14% QoQ จากรายได้ CLMV ที่ฟื้นตัว 2.GPM ฟื้นตัวจากต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับตัวลดลง โดยเฉพาะ Aluminum Coil เฉลี่ยที่ 2.2 พันดอลลาร์สหรัฐต่อตัน (เทียบกับจุดสูงสุดในเดือนเม.ย.ที่ 3.4 พันดอลลาร์สหรัฐต่อตัน และไตรมาส 1/66ที่ 2.5 พันดอลลาร์สหรัฐต่อตัน) ช่วยชดเชยต้นทุนน้ำตาลที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น

 

*เป้าใหม่ 70 บาท

สำหรับกำไรที่ยังคงลดลง YoY จากรายได้และ GPM ที่ปรับตัวลดลง จึงปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2566 -2567ลง -8% สะท้อนการฟื้นตัวของรายได้ต่างประเทศ และ GPM ที่ช้ากว่าที่คาดการณ์เดิม ประเมินกำไรสุทธิปี 2566 ที่ 1,853 ล้านบาท (-19% YoY) และปี 2567 ประเมินกำไรสุทธิที่ 2,236 ล้านบาท (+21% YoY)

 

ทั้งนี้ Market Share ที่เพิ่มขึ้น โดยทุกๆ 1% ของ Market Share ที่เพิ่มขึ้นจะเป็น Upside ต่อประมาณการกำไรปี 2566 ที่ 1% ราคาหุ้น Underperform SET -22% ใน 3 เดือนที่ผ่านมาสะท้อนปัจจัยลบจากการชะลอตัวของกำไรปี 2566 ไปพอสมควรแล้ว ปัจจุบัน CBG เทรดอยู่ที่ PER 34.3 เท่า (ใกล้เคียงกับ -0.5SD ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี)

 

โดยยังไม่ได้รวมโครงการปรับลดต้นทุน Packaging และโรงงานที่เมียนมาในประมาณการ ที่จะเห็นความชัดเจนในต้นปี 2567 ปรับคำแนะนำขึ้นเป็น “ซื้อ” และปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 70.00 บาท จากเดิม “ถือ” ที่ 68.50 บาท เพื่อสะท้อนผลประกอบการที่ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และกำไรจะเดินหน้าสู่วัฏจักรขาขึ้นรอบใหม่

 

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง