บล.บลูเบลล์โชว์สกิลเติบโต หุ้นกู้-กองทุนดันรายได้แกร่ง

#บล.บลูเบลล์ #ทันหุ้น- บล.บลูเบลล์ เติบโตต่อเนื่องตั้งแต่เปิดตัวบริษัทแม้ยอดขายหุ้นกู้ -AUA กองทุน ไม่ถึงเป้าที่คาด แต่รายได้โตสองหลัก ปีนี้คาด 250 ล้านบาท มองตลาดหุ้นกู้ยังโตต่อ และน่าสนใจลงทุนในปี 2568 ขณะที่ธุรกิจนายหน้าขายกองทุน บริษัทคาดว่าจะเติบโตได้อย่างโดดเด่น คาดสิ้นปีนี้ AUA ทะยาน 50%
นางสาวนริสรา ชัยวัฒนะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ บลูเบลล์ จำกัด เปิดเผยว่า ในปี 2567 บริษัทคาดยอดจำหน่ายหุ้นกู้ปีนี้ 13,500 ล้านบาท จากเป้า 15,000 ล้านบาท สำหรับ สินทรัพย์ภายใต้การบริหาร หรือ AUA (Assets Under Administration) ของกองทุนรวมตั้งแต่ต้นปีจนถึงสิ้นเดือนตุลาคม เติบโตขึ้น 32% โดยตัวเลขล่าสุด AUA อยู่ที่ราว 7 พันล้านบาท และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นถึง 50% ภายในสิ้นปี
*นักลงทุนโยกเงิน
โดยยอดจำหน่ายหุ้นกู้ที่คาดว่าจะอยู่ที่ 13,500 ล้านบาท ไม่เป็นไปตามเป้าหมายส่วนหนึ่งก็มาจากนักลงทุนโยกเงินออกจากหุ้นกู้ไปลงทุนในกองทุนวายุภักษ์บ้าง ไปลงทุนในตลาดหุ้นบ้าง เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่เป็นขาลง หนุนให้สินทรัพย์ลงทุนอื่นๆ มีความน่าสนใจเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ภาพรวมของตลาดหุ้นกู้ยังคงขยายตัว แต่ไม่สูงมากนัก โดยเป็นหุ้นกู้ที่ออกใหม่เพื่อทดแทนหุ้นกู้ชุดเดิม (Roll Over) เป็นหลัก
ในส่วนของนายหน้าซื้อขายกองทุนนั้น บล.บลูเบลล์ ได้เปิดตัวเมื่อกรกฎาคม 2566 ดังนั้นจึงเพิ่งเปิดตัวมาได้ราว 1 ปี เต็ม และมองว่า บล.บลูเบลล์ มีโอกาสเติบโตจากธุรกิจนี้ค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับธุรกิจจำหน่ายหุ้นกู้ ที่มีอัตราการเติบโตต่อปีเฉลี่ยที่ 5-10% ต่อปี โดยบริษัทยังคงเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจกองทุนด้วยเป้าหมาย AUA 10,000 ล้านบาทให้ได้ จากปัจจุบันอยู่ที่ราว 7,000 ล้านบาท
สำหรับ บล.บลูเบลล์ วางเป้าหมายปี 2567 จะมีรายได้รวมที่ 250 ล้านบาท จากการดำเนินธุรกิจเป็นตัวกลางในการจัดจำหน่ายหุ้นกู้คุณภาพ กองทุนรวม และผลิตภัณฑ์การเงินอื่น ๆ โดยสัดส่วนรายได้มาจากยอดจำหน่ายหุ้นกู้ ประมาณ 60% นายหน้ากองทุนประมาณ 30%และธุรกิจวาณิชธนกิจประมาณ 30%
*เติบโตสองหลักทุกปี
ทั้งนี้ บลูเบลล์ก้าวขึ้นเป็นอันดับที่ 5 ของบริษัทที่มียอดจำหน่ายหุ้นกู้สูงสุดของบริษัทหลักทรัพย์ (ข้อมูลจากสมาคมตราสารหนี้ไทย) และมีแนวโน้มจะรักษาอันดับนี้จนถึงสิ้นปี บล.บลูเบลล์ มีการเติบโตต่อเนื่อง สะท้อนจากรายได้ตั้งแต่เริ่มดำเนินการในเดือนกรกฎาคม 2565 อยู่ที่ 68.18 ล้านบาท และเพิ่มขึ้นเป็น 133.29 ล้านบาทในปี 2566 ก่อนที่จะเติบโตต่อเนื่องเป็น 216.43 ล้านบาทภายในเดือนตุลาคม 2567
โดยมาจากแหล่งรายได้การจัดจำหน่ายหุ้นกู้ 103.44 ล้านบาท กำไรจากธุรกรรมตลาดรอง 24.28 ล้านบาท รายได้จากกองทุนรวม 55.71 ล้านบาท บริการ Filing 13.82 ล้านบาทบริการผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ 10.19 ล้านบาท บริการวาณิชธนกิจ 5.49 ล้านบาท อื่นๆ 3.50 ล้านบาท และคาดการณ์รายได้รวมที่ 250 ล้านบาทในปีนี้ แสดงถึงอัตราการเติบโตที่ 95.48% ในปี 2566 และ 77.80% ในปี 2567
*ตลาดหุ้นกู้ปี 2568 ยังน่าสน
นางสาวนริสรา กล่าวว่า ตลาดตราสารหนี้ไทยในปี 2568 น่าจะมีแนวโน้มที่คึกคักและได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง หลังจากธนาคารแห่งประเทศไทยได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงสู่ระดับ 2.25% ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา และคาดว่าจะมีการปรับลดดอกเบี้ยลงสู่ระดับ 2.00% ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2568 ส่งผลให้แนวโน้มความต้องการหุ้นกู้ในตลาดมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากนักลงทุนจะต้องการล็อกผลตอบแทนจากดอกเบี้ยในระดับสูง ก่อนที่อัตราดอกเบี้ยจะปรับตัวลดลงในระยะถัดไป จึงทำให้การลงทุนในหุ้นกู้ที่มีอายุยาวและคุณภาพดีมีโอกาสที่จะได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากขึ้น
ขณะเดียวกัน ท่าทีของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ซึ่งค่อนข้าง “Dovish” (มีแนวโน้ม ลดดอกเบี้ย) น้อยกว่าธนาคารกลางในประเทศหลักอื่น ๆ ทำให้กระแสเงินทุนจากต่างประเทศเริ่มไหลเข้าสู่ตลาดตราสารหนี้ไทยมากขึ้นตั้งแต่ช่วงครึ่งปีหลังของปี 2567 และมีแนวโน้มจะไหลเข้าอย่างต่อเนื่องในปี 2568 ซึ่งส่งผลให้ตลาดหุ้นกู้ของไทยคึกคักมากยิ่งขึ้น
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนหุ้นกู้ที่แนะนำคือการเพิ่มระยะเวลาลงทุนในตราสารหนี้ให้ยาวขึ้น เช่น เลือกลงทุนในหุ้นกู้อายุ 3-5 ปี เพื่อให้นักลงทุนสามารถล็อกผลตอบแทนจากดอกเบี้ยในระยะยาว และได้รับประโยชน์จากดอกเบี้ยนโยบายที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลง (ทำให้ราคาตราสารหนี้ปรับตัวสูงขึ้น) ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนสามารถขายทำกำไรได้ในอนาคต ทั้งนี้ แนะนำให้ลงทุนในหุ้นกู้ Investment Grade หรือ Non-Rated ที่มีคุณภาพสูงและมีอายุยาว ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนผ่านตลาดแรกหรือตลาดรอง ทั้งนี้ ทางบลูเบลล์มีบริการหุ้นกู้ในทั้งตลาดแรกและตลาดรอง พร้อมด้วยทีมวิเคราะห์หุ้นกู้ที่เชี่ยวชาญ คอยให้คำแนะนำเชิงลึกและเป็นประโยชน์ เพื่อช่วยให้นักลงทุนตัดสินใจลงทุนได้อย่างมั่นใจ