รีเซต

อินโดนีเซียซื้อเครื่องบินขับไล่ KAAN จำนวน 48 ลำ จากตุรกี แทนเครื่องบิน KF-21 Boramae ของเกาหลีใต้

อินโดนีเซียซื้อเครื่องบินขับไล่ KAAN จำนวน 48 ลำ จากตุรกี แทนเครื่องบิน KF-21 Boramae ของเกาหลีใต้
TNN ช่อง16
12 มิถุนายน 2568 ( 13:43 )
29

12 มิถุนายน ประธานาธิบดี เรเจป ไตยิป แอร์โดอัน (Recep Tayyip Erdoğan) ของตุรกี เปิดเผยว่า อินโดนีเซียจะเป็นชาติแรกที่ได้รับการส่งออกเครื่องบินขับไล่ KAAN ซึ่งผลิตในประเทศตุรกี โดยจะจัดส่งจำนวน 48 ลำ ตามข้อตกลงที่เกิดขึ้นระหว่างงานแสดงอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ Indo Defence 2025 ที่กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย

ประธานาธิบดี เรเจป ไตยิป แอร์โดอัน ของตุรกี ระบุผ่านแพลตฟอร์ม X ว่า เครื่องบินทั้งหมดจะผลิตในตุรกี พร้อมบูรณาการ “ศักยภาพในประเทศ” ของอินโดนีเซียเข้าไปในกระบวนการผลิตด้วย แม้ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดทางการเงินอย่างเป็นทางการ แต่รายงานท้องถิ่นบางแหล่งคาดว่าข้อตกลงนี้มีมูลค่าราว 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 32,620 ล้านบาท

พิธีลงนามข้อตกลงจัดซื้อ KAAN มีขึ้นโดยมีรัฐมนตรีกลาโหมอินโดนีเซีย นายจาฟรี สมโซเอ็ดดิน และรัฐมนตรีอุตสาหกรรมกลาโหมตุรกี นายฮาลุก กอร์กุน เป็นผู้ร่วมลงนาม โดยได้รับการสนับสนุนอย่างใกล้ชิดจากประธานาธิบดีอินโดนีเซีย นายปราโบโว ซูเบียนโต

เครื่องบินขับไล่ KAAN

เครื่องบินขับไล่ KAAN เป็นเครื่องบินขับไล่ล่องหนรุ่นที่ 5 ลำแรกของตุรกี พัฒนาโดยบริษัท Turkish Aerospace Industries (TAI) เพื่อเสริมเขี้ยวเล็บทางอากาศและลดการพึ่งพาเครื่องบินต่างชาติ เช่น F-16 ของสหรัฐอเมริกา โดยจุดเด่นของ KAAN คือ ความสามารถล่องหน (Stealth) แม้คาดว่ายังคงมีระดับค่า RCS หรือค่าการสะท้อนเรดาห์อยู่ในระดับต่ำ เมื่อเทียบกับเครื่องบินขับไล่ล่องหนแห่งยุค เช่น F-35 ซึ่งมีระดับค่า RCS ประมาณ 0.001–0.005 m² และถูกยกเป็นหนึ่งในเครื่องบินที่ล่องหนที่สุดในโลก

สำหรับประสิทธิภาพในการบินเครื่องบินขับไล่ KAAN ทำความเร็วสูงสุด Mach 1.8 หรือประมาณ 2,205 กิโลเมตรต่อชั่วโมง, ติดตั้งระบบเรดาร์ AESA, ช่องเก็บอาวุธภายในลำตัว และการหลอมรวมข้อมูลจากเซนเซอร์เพื่อเสริมประสิทธิภาพในการรบ นอกจากนี้ยังรองรับการติดตั้งอาวุธปล่อยหลากหลายประเภททั้งอากาศสู่อากาศและอากาศสู่พื้น 

เครื่องบินขับไล่ KAAN บินทดสอบครั้งแรกในปี 2024 และคาดว่าจะส่งมอบใช้งานจริงในปี 2028 โดยมีแผนพัฒนาเครื่องยนต์ภายในประเทศในระยะยาว ขีดความสามารถของ KAAN ไม่เพียงตอบสนองภารกิจรบในรูปแบบใหม่ แต่ยังแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของตุรกีในการเป็นผู้ผลิตและส่งออกเครื่องบินรบขั้นสูงในระดับโลก โดยมีหลายประเทศให้ความสนใจรวมถึงอินโดนีเซีย ปากีสถาน และอาเซอร์ไบจาน

KAAN เป็นเครื่องบินรบรุ่นที่ 5 ลำแรกของตุรกี ซึ่งเพิ่งประสบความสำเร็จในการบินครั้งแรกในปี 2024 และมีกำหนดส่งมอบลำแรกภายในปี 2028 ข้อตกลงนี้สะท้อนถึงความก้าวหน้าของอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของตุรกีและอินโดนีเซียอย่างมีนัยสำคัญ

อินโนนีเซียยังไม่ถอนตัวจากโครงการพัฒนา KF-21 Boramae 

ข้อตกลงซื้อเครื่องบินรบ KAAN จากตุรกีของอินโดนีเซียในครั้งนี้ ถูกมองว่าเป็นการแทนที่แผนการซื้อเครื่องบิน KF-21 Boramae ของเกาหลีใต้ ที่ก่อนหน้านี้อินโดนีเซียเคยมีส่วนร่วมเป็นพันธมิตรพัฒนาขึ้นมา

ก่อนหน้านี้ในปี 2015-2016 อินโดนีเซียเข้าร่วมโครงการพัฒนา KF-21 Boramae กับเกาหลีใต้ (KAI) โดยตกลงจะร่วมลงทุนราว 20% และได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีบางส่วน อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา อินโดนีเซียมีปัญหาเรื่องการชำระเงินตามข้อตกลง และเกิดความไม่แน่นอนในบทบาทร่วมพัฒนา ทำให้มีข่าวลือหลายครั้งว่าอาจถอนตัว

อย่างไรก็ตาม อินโดนีเซียยังไม่ยกเลิกโครงการ KF‑21 Boramae อย่างสมบูรณ์ แต่ได้ลดบทบาทและชะลอการจ่ายเงิน ตามแผนพัฒนา อย่างชัดเจน โดยในปี 2024 รัฐบาลเกาหลีลดสัดส่วนความร่วมมือของอินโดฯ จาก 20% เหลือเพียง 7.5% หลังอินโดนีเซียค้างชำระและต่อรองโอนเงินให้สอดคล้องกับข้อตกลง

การยกระดับกองทัพอากาศอินโนนีเซีย

ประธานาธิบดีซูเบียนโต ประเทศอินโดนีเซีย ให้ความสำคัญกับการยกระดับศักยภาพกองทัพอินโดนีเซีย โดยกล่าวว่า “ไม่มีประเทศใดที่มีสติสัมปชัญญะต้องการสงคราม แต่ประวัติศาสตร์สอนเราว่า หากไม่ลงทุนในระบบป้องกันของตนเอง ประเทศนั้นจะสูญเสียเอกราช”

อินโดนีเซียอยู่ระหว่างการปรับปรุงขีดความสามารถทางทหาร ทั้งการจัดหาเรือดำน้ำ เรือฟริเกต และเครื่องบินรบ พร้อมผลักดันความร่วมมือกับนานาประเทศ ซูเบียนโตได้เดินทางเยือนจีน ฝรั่งเศส รัสเซีย ตุรกี และสหรัฐฯ เพื่อเสริมแสนยานุภาพกองทัพอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ความร่วมมือระหว่างตุรกีกับอินโดนีเซียยังขยายตัวในมิติอื่น เช่น การพัฒนาโรงงานผลิตโดรนรบ Baykar ในอินโดนีเซีย และมีรายงานว่าปากีสถานและอาเซอร์ไบจานก็ให้ความสนใจเครื่องบิน KAAN เช่นกัน

ข้อตกลงครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นก้าวสำคัญของตุรกีในฐานะผู้ส่งออกเทคโนโลยีป้องกันประเทศเท่านั้น แต่ยังสะท้อนการขยายบทบาทของอินโดนีเซียในเวทีความมั่นคงระดับภูมิภาคอีกด้วย

ข่าวที่เกี่ยวข้อง