ผ่าอนาคตการเงินโลกปี 68 เตือนรับมือความผันผวน - ฉวยโอกาสลงทุนยุค AI
ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและความท้าทายที่รออยู่เบื้องหน้าในปี 2568 เราจะรับมือกับสถานการณ์นี้อย่างไร?
บทวิเคราะห์จาก นายอนุสรณ์ ธรรมใจ ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจจากมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย จะพาคุณไปสำรวจทิศทางตลาดการเงินโลกและไทย ตั้งแต่ผลกระทบของนโยบายการเงินสหรัฐฯ บทบาทของยักษ์ใหญ่เทคโนโลยี โอกาสการลงทุนในตลาด Private Market ไปจนถึงความท้าทายของเศรษฐกิจไทยและบทบาทของ Gen AI ที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าเศรษฐกิจในอนาคต บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจภาพรวมเศรษฐกิจและเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะมาถึง
วิเคราะห์ตลาดการเงินโลกและไทยปี 2568: ความท้าทายและโอกาสในยุคผันผวน
นายอนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุน และการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย (DEIIT-UTTC) เปิดเผยว่า ตลาดการเงินโลกปี 2568 มีแนวโน้มเผชิญความผันผวนในระดับสูง จากหลากหลายปัจจัยที่มีความไม่แน่นอนและคาดการณ์ได้ยาก ทั้งทิศทางอัตราดอกเบี้ย สถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ มาตรการกีดกันและสงครามการค้า ภาษีและหนี้สาธารณะ รวมถึงความเสี่ยงจากภาวะฟองสบู่ในตลาดการเงิน ซึ่งจำเป็นต้องมีการปรับกลยุทธ์การลงทุนด้วยความถี่และความรวดเร็วมากขึ้น
สหรัฐอเมริกาและแนวโน้มนโยบายการเงิน
ผู้อำนวยการ DEIIT-UTTC ระบุว่า รัฐบาลสหรัฐฯ มีแนวโน้มดำเนินนโยบายที่อาจนำไปสู่การขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้น ผ่านมาตรการลดภาษีนิติบุคคลและภาษีธุรกิจ ควบคู่กับการเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐเพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ ส่งผลให้เกิดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จึงอาจต้องชะลอการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อควบคุมเสถียรภาพทางการเงินและเงินเฟ้อให้อยู่ในกรอบเป้าหมาย โดยคาดว่าจะมีการปรับลดดอกเบี้ยเพียง 2 ครั้งในปี 2568 ต่างจากที่ตลาดเคยคาดการณ์ไว้ที่ 4 ครั้ง
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และบทบาทของหุ้นเทคโนโลยี
นายอนุสรณ์กล่าวว่า กลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี โดยเฉพาะ Magnificent 7 ยังคงมีบทบาทสำคัญต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ และตลาดหุ้นโลก โดยมีสัดส่วนมูลค่าตลาดสูงถึง 21% ของดัชนี S&P 500 และมีค่า P/E Ratio อยู่ที่ 32 ซึ่งบริษัทจัดการกองทุนบางแห่งมองว่าเริ่มมีสัญญาณของภาวะฟองสบู่ การปรับฐานของตลาดหุ้นหลังจากการคาดการณ์เรื่องการปรับลดดอกเบี้ยที่น้อยลงทำให้ราคาหุ้นสะท้อนผลประกอบการได้สมเหตุสมผลมากขึ้น
การลงทุนในตลาดสาธารณะและตลาดเอกชน
คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ชี้ว่า ปี 2568 การลงทุนในตลาดสาธารณะ (Public Market) มีแนวโน้มให้ผลตอบแทนต่ำกว่าการลงทุนในสินทรัพย์เอกชนนอกตลาด (Private Market) อย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากราคาสินทรัพย์ในตลาดสาธารณะได้ปรับตัวขึ้นเกือบเต็มมูลค่าแล้ว ขณะที่ตลาด Private Market ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 13-14 ล้านล้านดอลลาร์ มีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 20% ตั้งแต่ปี 2562 แม้จะชะลอตัวลงในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น แต่แนวโน้มดอกเบี้ยขาลงในปี 2568 จะช่วยลดต้นทุนการจัดหาเงินทุน
ตลาดหุ้นไทยและความท้าทาย
ผู้อำนวยการ DEIIT-UTTC วิเคราะห์ว่า ตลาดหุ้นไทยเผชิญการปรับฐานต่อเนื่องจนดัชนีหลุดระดับ 1,400 จุด สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างหลายประการ ทั้งด้านธรรมาภิบาลของบริษัทจดทะเบียน ความไม่แน่นอนทางการเมือง การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่ำกว่าศักยภาพ และการขาดแคลนธุรกิจอุตสาหกรรมแห่งอนาคตและบริษัท Startup ด้านเทคโนโลยี
แนวโน้มการลงทุนในประเทศไทยปี 2568
นายอนุสรณ์ประเมินว่า การลงทุนในประเทศจะปรับตัวดีขึ้นทั้งภาครัฐและเอกชน โดยภาพรวมการลงทุนจะขยายตัว 3.5-4% แบ่งเป็นการลงทุนภาครัฐที่ 6-7% และภาคเอกชนที่ 2.8-3.2% อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยยังคงมีลักษณะการฟื้นตัวแบบ K-Shape ที่เพิ่มความเหลื่อมล้ำในสังคม
ความท้าทายเชิงโครงสร้างของไทย
คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ชี้ว่า ประเทศไทยมีระดับการเลื่อนชั้นทางสังคมและเศรษฐกิจ (Social and Economic Mobility Index) ต่ำกว่าหลายประเทศในอาเซียน รวมถึงเวียดนาม สิงคโปร์ และมาเลเซีย โดยมีสภาวะเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน 3 ระบบ ได้แก่ เศรษฐกิจนอกระบบ เศรษฐกิจของกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและยากจน และเศรษฐกิจของกลุ่มชนชั้นนำที่มีอำนาจผูกขาด โดยโอกาสในการเลื่อนฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมของคนยากจนและครัวเรือนรายได้น้อยมีเพียงไม่ถึง 40%
บทบาทของ Generative AI
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ (DEIIT-UTTC) โดยนายอนุสรณ์ ประเมินว่า Generative AI มีศักยภาพในการเพิ่ม GDP ไทยไม่ต่ำกว่า 5% ในอีก 4-5 ปีข้างหน้า หากมีการลงทุนอย่างจริงจัง แม้จะส่งผลกระทบต่อการจ้างงานบางส่วน แต่การเพิ่มขึ้นของผลิตภาพโดยรวมจะช่วยขยายเศรษฐกิจและสร้างการจ้างงานรูปแบบใหม่ สอดคล้องกับการประเมินของ Goldman Sachs ที่คาดว่า Gen AI จะเพิ่มมูลค่า GDP โลกได้ถึง 7 ล้านล้านดอลลาร์ภายใน 10 ปี หรือประมาณ 7% ของ GDP โลกในปัจจุบัน
ผู้อำนวยการ DEIIT-UTTC เน้นย้ำว่า ประเทศไทยจำเป็นต้องพัฒนายุทธศาสตร์และแผนการลงทุนด้าน AI ที่ชัดเจน เพื่อยกระดับจากการเป็นเพียงผู้ใช้เทคโนโลยีสู่การเป็นผู้พัฒนาเทคโนโลยี เช่นเดียวกับความสำเร็จของจีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น นอกจากนี้ ภาครัฐและสหภาพแรงงานควรมีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้เกิดการกระจายผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจอย่างเป็นธรรม เพื่อลดปัญหาความเหลื่อมล้ำและสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน
ภาพ Freepik