รีเซต

ไมโครซอฟท์ปิดโครงการ Metaverse พนักงาน 100 คน ตกงาน ปรับแผนมุ่งพัฒนา AI

ไมโครซอฟท์ปิดโครงการ Metaverse พนักงาน 100 คน ตกงาน ปรับแผนมุ่งพัฒนา AI
TNN ช่อง16
11 กุมภาพันธ์ 2566 ( 11:22 )
82
ไมโครซอฟท์ปิดโครงการ Metaverse พนักงาน 100 คน ตกงาน ปรับแผนมุ่งพัฒนา AI

การมาถึงของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์แชตจีพีที (ChatGPT) อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของวงการเทคโนโลยีโลกและกลายเป็นกระแสหลักทดแทนกระแสของเทคโนโลยีโลกเสมือนจริง (Metaverse) ล่าสุดบริษัท ไมโครซอฟท์ (Microsoft) บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของโลกได้ยุติโครงการพัฒนาอุตสาหกรรมโลกเสมือนจริง (Industrial Metaverse Core) บางส่วน โดยพนักงานชุดแรกโดนปลดออกจากบริษัท 100 คน 


การปลดพนักงานออกจากโครงการโลกเสมือนจริง (Industrial Metaverse Core) ในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนการปลดพนักงานออกกว่า 10,000 คน หรือคิดเป็นสัดส่วน 4.5% ของจำนวนพนักงานทั้งหมดของบริษัท


บริษัท ไมโครซอฟท์ (Microsoft) ก่อตั้งโครงการพัฒนาอุตสาหกรรมโลกเสมือนจริง (Industrial Metaverse Core) ขึ้นในเดือนตุลาคม 2022 โดยทำหน้าที่พัฒนารูปแบบวิธีการที่จะนำโลกเสมือนจริง (Metaverse) เข้ามาปรับใช้ในบริการของบริษัท ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางของบริษัทต่าง ๆ ในช่วงเวลานั้นที่ให้ความสนใจโลกเสมือนจริง (Metaverse)


อย่างไรก็ตามการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ของบริษัทที่นำปัญญาประดิษฐ์เข้ามาช่วยเสริม เช่น เสิร์ชเอนจิน (Search Engines) บริการค้นข้อมูลบิง (Bing) ดูเหมือนเป็นอนาคตที่สดใสของบริษัทมากกว่าและได้รับการตอบรับจากผู้ใช้งานและนักลงทุนจำนวนมากส่งผลให้มูลค่าหุ้นของบริษัทเพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่ราคาหุ้นของบริษัทคู่แข่งอย่างแอลฟาเบต (Alphabet) ร่วงไปลงกว่า -7.68%


โดยก่อนหน้านี้บริษัท ไมโครซอฟท์ (Microsoft) ได้ประกาศเข้าไปลงทุนมูลค่ากว่า 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 327,800 ล้านบาท ในบริษัท โอเพนเอไอ (OpenAI) ผู้พัฒนาปัญญาประดิษฐ์แชตจีพีที (ChatGPT) โดยมีเงื่อนไขบริษัท ไมโครซอฟท์จะได้รับผลกำไร 75% ของบริษัท โอเพนเอไอ (OpenAI) ไปจนกว่าจะได้รับเงินลงทุนคืน


หลังจากนั้นบริษัท ไมโครซอฟท์จะเข้าไปถือหุ้น 49% และนักลงทุนรายอื่นอีก 49% ในบริษัท โอเพนเอไอ (OpenAI) ส่วนอีก 2% จะเป็นขององค์กรไม่แสวงหาผลกำไรของโอเพนเอไอ (OpenAI) โดยบริษัทเตรียมนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เข้ามาใช้ในบริการต่าง ๆ ของไมโครซอฟท์เพิ่มมากขึ้น


ที่มาของข้อมูล Coindesk  

ที่มาของรูปภาพ Reuters 

 

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง