SABUY ไตรมาส 3 กำไร 37 ล้าน ลดลง 93% งวด 9 เดือนกำไร 384 ล้าน ลดลง 60%
#SABUY #ทันหุ้น - บริษัท สบาย เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ SABUY แจ้งผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2566 มีกำไรสุทธิ 37.28 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.0195 บาท ลดลง 93% เทียบกับงวดเดียวกันปีก่อนกำไรสุทธิ 500.68 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.2961 บาท
สำหรับงวด 9 เดือนมีกำไรสุทธิ 383.84 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.2311 บาท ลดลง 60% เทียบกับงวดเดียวกันปีก่อนกำไรสุทธิ 964.22 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.714 บาท
บริษัทชี้แจงว่า รายได้รวมของบริษัทฯ ไตรมาส 3/2566 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2566 อยู่ที่ 2,467.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,296.3 ล้านบาท หรือร้อยละ 110.7 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนในไตรมาส 3/2566 กลุ่มบริษัทฯมีรายได้เพิ่มขึ้น จากบริษัทหลัก เช่น, SBNEXT, SABUY Market Plus, SABUY SPEED, SABUY Alliances, PTECH, BZB, และ LOVLS เป็นผลมาจากการที่ บริษัทฯ ได้มีการเร่งยอดขายเพื่อทำให้ได้ตามเป้าหมาย และกลยุทธ์ของบริษัทฯที่วางไว้ รวมไปถึงการมองหาโอกาสในการทำธุรกิจใหม่ ๆ ที่เสริมสร้างการเติบโตให้แก่บริษัทฯ เช่น การเป็นตัวแทน Banking Agent ในการฝาก-ถอน เงินสด ผ่านช่องทางของบริษัทฯ และได้ดำเนินธุรกรรมอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ทำให้เห็นได้ว่า Ecosystem ของบริษัทฯมีความแข็งแรงและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างครอบคลุม ทำให้รายได้เทียบไตรมาส 2/2566 และไตรมาสปัจจุบัน 3/2566 ปรับตัวลดลงเพียงเล็กน้อย แต่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับไตรมาส 3/2565
ในไตรมาสที่ 3/2566 บริษัทฯ มีรายได้จากทางด้านต่าง ๆ ดังนี้:
1. รายได้จากการให้บริการ: อยู่ที่ 695.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 206.8 ล้านบาท (ร้อยละ 42.3) จากช่วงเดียวกันในปีก่อน โดยสาเหตุหลักมาจากรายได้ในส่วนของ SABUY SPEED ที่มีการขยายจุด Touchpoint เพื่อให้บริการรับส่งพัสดุทั่วประเทศ และการขยายบริการในการเป็น Banking Agent ตามจุด touch point ดังกล่าว โดยสอดคล้องกับสภาพตลาดธุรกิจขนส่งพัสดุในปี 2566 ที่คาดว่าจะเดิบโตในอัตราเฉลี่ย 18% ตามการเติบโตของตลาด E-commerce หรือ มูลค่า 1.15 แสนล้านบาท ในปี 2566 รวมถึงการเพิ่มขึ้นของรายได้จากธุรกิจ Outsourcing และรายได้บริการจากธุรกิจ CRM ของ BZB ซึ่งได้มีการเข้าลงทุนตั้งแต่ในช่วง Q3-2565 และ Q4-2565 เป็นต้นมา
2. รายได้จากการขาย: มีมูลค่าเป็น 1,621.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,055.4 ล้านบาท (ร้อยละ 186.5) จากช่วงเดียวกันในปีก่อน โดยมีสาเหตุหลักมาจากรายได้จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องกรองน้ำและเครื่องทำน้ำแข็งจาก BNEXT และรายได้จากการจำหน่ายสินค้าจากระบบ CRM จาก BZB และรายได้จากการจำหน่ายอุปกรณ์ไฟฟ้าแบบผ่อนชำระจาก LOVLS ซึ่งได้มีการเข้าลงทุนตั้งแต่ในช่วง Q3-2565 และ Q4-2565 เป็นต้นมา
3. รายได้จากการให้บริการตามสัญญาและดอกเบี้ยรับ: มีมูลค่ารวม 140.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38.2 ล้านบาท (ร้อยละ 37.3) จากช่วงเดียวกันในปีก่อน ซึ่งมาจากธุรกิจสินเชื่อและการขายเครื่องกรองน้ำและอุปกรณ์ไฟฟ้าแบบผ่อนชำระผ่านแพลตฟอร์มของ SBNEXT และ LOVLS
กำไรขั้นต้น
กำไรขั้นต้นรวมสำหรับไตรมาส 3/2566 เท่ากับ 666.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 296.9 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนคิดเป็นร้อยละ 80.3 โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 27.1% ลดลงจาก 31.9% แต่เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2/2566 ที่ 23.7% สาเหตุหลักเป็นผลมาจากการที่กลุ่มบริษัทมีผลิตภัณฑ์และบริการหลากหลายมากขึ้น มีการขายแบบ wholesale เพิ่มขึ้น ซึ่งมีตลาดการแข่งขันด้านราคาที่แตกต่างกัน สำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์และบริการที่มีการแข่งขันด้านราคาสูงเช่น ธุรกิจขนส่ง ธุรกิจ Outsourcing กลุ่มบริษัทมีการควบคุมราคาจำหน่ายสินค้าและบริการเพื่อให้สามารถยังคงแข่งขันกับตลาดและรักษาฐานลูกค้าไว้ได้ รวมไปถึงนโยบายการคัดเลือกสินค้าหรือบริการที่ตรงกับความนิยมของผู้บริโภคและการหาช่องทางการขายใหม่ๆเพื่อเพิ่มรายได้ และควบคุมต้นทุนเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ค่าใช้จ่ายรวม
ค่าใช้จ่ายรวมสำหรับไตรมาส 3/2566 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2566 เท่ากับ 619.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 308.4 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 99.1 ซึ่งเกิดจากการรับรู้ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการเข้าลงทุนในธุรกิจเช่น BZB, SBNEXT, Outsourcing, LOVLS เป็นต้น รวมไปถึงค่าใช้จ่ายจากการขยายโครงสร้างธุรกิจ โดย LOVLS มีการเปิดสาขาเพิ่มขึ้นโดยคาดว่าจะเปิดเพิ่มทั้งหมด 15 สาขา SBNEXT มีการเพิ่มแผนการขายในหลายช่องทางรวมถึงการเพิ่มสาขาของบ้านกรองสบาย 1210 อีกทั้งรับรู้ค่าใช้จ่ายในการควบรวมธุรกิจตู้เวนดิ้งจาก AOC เข้ามาใน SBNEXT เมื่อสิงหาคมที่ผ่านมา ในขณะที่ BzB มีผลกระทบจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากอัตราแลกเปลี่ยน USD ที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินบาท ตลอดจน ค่าที่ปรึกษา ค่าตัดจำหน่ายสินทรัพย์ไม่มีตัวตนจากการรวมธุรกิจ
ทั้งนี้ ในไตรมาส 3/2566 มีการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สูญของ SBNEXT ที่เพิ่มขึ้นโดยบริษัทได้พิจารณาอย่างระมัดระวังเพื่อรองรับสภาพเศรษฐกิจในอนาคต อีกทั้งมีแผนและกลยุทธ์เพื่อป้องกันโดยเพิ่มมาตรการในการคัดเลือกผู้ซื้อสินค้าในระบบผ่อนชำระเพิ่มขึ้น รวมไปถึงความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อให้สอดคล้องกับนโยบายและสภาพเศรษฐกิจเพื่อลดภาระหนี้เสียหรือการตั้งสำรองของ SBNEXT ในอนาคต
อย่างไรก็ตามค่าใช้จ่ายในการบริหารที่บริษัทแม่ (SABUY) ลดลงจากการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างเข้มงวด และยังคงดำเนินการมาตรการลดความซ้ำซ้อนในการดำเนินงานโดยการควบรวมทีมงานเพื่อลดค่าใช้จ่ายหน่วยงานที่สามารถให้มาอยู่ส่วนกลาง (centralized) อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้บริษัทกำลังปรับโครงสร้าง SABUY, SBNEXT และ PTECH เป็นแกนของ 2 ธุรกิจหลัก คือ Connext และ Enterprise & Life ตามลำดับ นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมีแผนการพิจารณาปรับธุรกิจบางส่วนที่ไม่ส่งเสริม Ecosystem เพื่อสร้างมูลค่าและเพิ่มความสามารถในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต
กำไรสุทธิ
กำไรสุทธิส่วนของบริษัทฯ สำหรับไตรมาส 3 ปี 2566 สิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2566 เท่ากับ 37.3 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 463.4 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 92.6 โดยหลักลดลงจากกำไรจากการวัดมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนในปีที่แล้ว อย่างไรก็ตามเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและผลประกอบการในอนาคต บริษัทฯ ได้มีมาตรการในการปรับตัว เช่น การเพิ่มมาตรการณ์ในการคัดเลือกลูกค้าเครื่องกรองน้ำในระบบผ่อนชำระเพื่อเพิ่มความรัดกุมมากยิ่งขึ้น พิจารณาการขายธุรกิจบางส่วนที่ไม่ส่งเสริม Ecosystem และลดความซ้ำซ้อนในการดำเนินงานโดยกำลังดำเนินงานตามแผนการจัดโครงสร้างบริษัทฯอย่างต่อเนื่อง เพื่อเสริมมูลค่าและเพิ่มความสามารถในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต และบริษัทฯจะดำเนินการตามแผนงานที่วางไว้อย่างรัดกุมและรอบคอบเพื่อเพิ่มผลประกอบการในสภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทายเพื่อสร้างความพึงพอใจแก่ลูกค้าและพาร์ทเนอร์ รวมไปถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในทุกภาคส่วนต่อไป ทั้งนี้ทางบริษัทฯยังคงเชื่อมั่นในแผนการดำเนินงานรวมไปถึงการควบคุมค่าใช้จ่ายต่าง ๆที่ยังคงเดินหน้าอย่างรัดกุม ซึ่งสะท้อนให้เห็นจากความสามารถในการสร้างรายได้ที่ยังดีอย่างต่อเนื่อง แม้ในสถานะการณ์ที่ยากลำบากเช่นปัจจุบัน