รีเซต

ไทยยื่นหนังสือถึง UNSC ชี้กัมพูชาละเมิดอธิปไตย โจมตีด้วยอาวุธหนักไม่เลือกเป้า

ไทยยื่นหนังสือถึง UNSC  ชี้กัมพูชาละเมิดอธิปไตย  โจมตีด้วยอาวุธหนักไม่เลือกเป้า
TNN ช่อง16
10 ธันวาคม 2568 ( 23:55 )
26

เชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ยื่นหนังสืออย่างเป็นทางการจากรัฐบาลไทย ถึงประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) วันนี้ (10 ธ.ค.) ระบุว่า กัมพูชาเปิดฉากโจมตีทางทหารต่อไทยโดยปราศจากการยั่วยุ ตั้งแต่วันที่ 7-8 ธันวาคม 2568 ใช้อาวุธหนักโจมตีไม่เลือกเป้าหมายใน 5 จังหวัดชายแดน ส่งผลให้ทหารไทยเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก ขณะที่ประชาชนกว่า 400,000 คนต้องอพยพ 


ไทยยืนยันจำเป็นต้องใช้สิทธิในการป้องกันตนเองตามกฎบัตรสหประชาชาติ พร้อมประณามกัมพูชาเผยแพร่ข้อมูลเท็จกล่าวหาไทยเป็นฝ่ายเริ่มก่อน


สาระสำคัญ ดังนี้ 


เรียน เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรสโลวีเนียประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก


กระผมขอเรียนให้ท่านและสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติทราบโดยเร่งด่วนถึงการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของราชอาณาจักรไทยอย่างร้ายแรงล่าสุด อันเนื่องมาจากการรุกรานและการโจมตีทางอาวุธโดยปราศจากการยั่วยุของกัมพูชาต่อไทย ดังนี้


1. เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2568 เวลา 14:15 น. ทหารกัมพูชาได้เปิดยิงใส่ทหารไทยจากหน่วยกองพันทหารราบที่ 13 ซึ่งปฏิบัติภารกิจปรับปรุงเส้นทางภายในดินแดนของไทยในพื้นที่ภูผาเหล็ก-พลาญหินแปดก้อน อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ การโจมตีดังกล่าวทำให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บ 2 นาย โดยในจำนวนนี้ ทหารหนึ่งนายได้รับบาดเจ็บบริเวณหน้าอกและทหารอีกหนึ่งนายถูกยิงบริเวณขาขวา ทั้งนี้ ทหารกัมพูชายังคงยิงใส่ทหารไทยอย่างต่อเนื่องจนถึงเวลา 14:50 น.


2. เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2568 เวลา 05:05 น. ทหารกัมพูชาได้เริ่มโจมตีฐานทหารไทยโดยปราศจากการยั่วยุใดๆ ในพื้นที่ช่องอานม้า จังหวัดอุบลราชธานี ตามด้วยการโจมตีในวงกว้างอย่างไม่เลือกเป้าหมายตลอดหลายพื้นที่ภายในดินแดนของไทยในจังหวัดบุรีรัมย์ จังหวัดสุรินทร์ จังหวัดศรีสะเกษ และจังหวัดอุบลราชธานี 


ต่อมาในช่วงบ่ายวันเดียวกัน ทหารกัมพูชายังได้ยกระดับการโจมตีอีกครั้งด้วยการยิงอาวุธหนักใส่ทหารไทยที่ประจำการในพื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้ว อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว ณ เวลา 18:00 น.


การโจมตีรุกรานดังกล่าวส่งผลกระทบต่อ 5 จังหวัดของไทย ทำให้ทหารไทยเสียชีวิต 1 นาย และบาดเจ็บ 18 นาย โดยในจำนวนนี้ ทหาร 3 นายอาการสาหัส และมีประชาชนจำนวนกว่า 400,000 คน ต้องอพยพจากที่พักอาศัย โดยในจำนวนนี้ มีประชาชน 2 ราย ที่เสียชีวิตจากอาการหัวใจวาย


ในระหว่างการอพยพตลอดทั้งวัน กำลังทหารกัมพูชาได้ดำเนินการโจมตีดินแดนของไทยอย่างต่อเนื่อง ไม่ได้สัดส่วนและผิดกฎหมาย โดยเจตนามุ่งเป้าหมายโจมตีพลเรือนและโครงสร้างพื้นฐานของพลเรือน ปฏิบัติการดังกล่าวใช้อาวุธหนักหลายชนิด รวมถึงเครื่องยิงระบบจรวดหลายลำกล้อง ปืนครก และปืนกลหนัก และยังเสริมด้วยการเคลื่อนย้ายอาวุธหนักและกำลังพลของกัมพูชาตามแนวชายแดนอย่างต่อเนื่อง

3. การโจมตีทางอาวุธโดยปราศจากการยั่วยุและไม่เลือกเป้าหมายดังกล่าวของกัมพูชาต่อดินแดนของไทยในพื้นที่ 5 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดบุรีรัมย์ จังหวัดสุรินทร์ จังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดอุบลราชธานี และจังหวัดสระแก้ว เป็นการละเมิดข้อ 2 วรรค 4 ของกฎบัตรสหประชาชาติ หลักการอยู่ร่วมกันฉันมิตรกับประเทศเพื่อนบ้านและหลักการอยู่ร่วมกันอย่างสันติระหว่างรัฐอย่างชัดเจน


เพื่อตอบโต้การกระทำดังกล่าว ไทยจึงมีความจำเป็นต้องใช้สิทธิโดยชอบธรรมในการป้องกันตนเองตามข้อ 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติเพื่อรักษาอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดน และปกป้องความปลอดภัยของประชาชนไทย มาตรการป้องกันตนเองดังกล่าวดำเนินการตามกฎหมายระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะหลักความจำเป็นและความได้สัดส่วน มาตรการเหล่านี้จำกัดขอบเขต ได้สัดส่วนตามภัยคุกคาม และมุ่งเป้าหมายเพื่อยับยั้งภัยอันตรายที่ชัดแจ้งจากทหารกัมพูชา โดยใช้ความพยายามอย่างถึงที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดผลกระทบและอันตรายต่อพลเรือนและโครงสร้างพื้นฐานของพลเรือน


4. เป็นที่น่าเสียใจว่า ในทันทีภายหลังจากเกิดเหตุการณ์ข้างต้น ทางการของกัมพูชาได้ตั้งใจเผยแพร่ข้อมูลเท็จ โดยกล่าวหาว่า ไทยเป็นฝ่ายเริ่มการโจมตีก่อน ในขณะที่ในความเป็นจริงแล้ว ฝ่ายกัมพูชาได้เริ่มยิงใส่ทหารไทยและดินแดนของไทยก่อน การกระทำนี้แสดงถึงการยั่วยุของฝ่ายกัมพูชาอีกครั้ง ไทยขอปฏิเสธอย่างสิ้นเชิงต่อข้อกล่าวหาที่ไร้มูลความจริงอย่างต่อเนื่องของกัมพูชา ซึ่งมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการบิดเขือนข้อเท็จจริงและบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือของประเทศไทยในประชาคมระหว่างประเทศ

5. การโจมตีทางอาวุธล่าสุดของกัมพูชาสะท้อนรูปแบบความเป็นปฏิบักษ์ต่อไทยที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าและทวีความรุนแรงขึ้น รูปแบบดังกล่าวเกิดขึ้นตามมาหลังจากการกระทำที่เกิดขึ้นต่อเนื่องในลักษณะไตร่ตรองไว้ล่วงหน้าและเป็นการยั่วยุของกัมพูชา ซึ่งรวมถึงการวางทุ่นระเบิด PMN-2 ใหม่ของกัมพูชาอย่างผิดกฎหมายในดินแดนของไทยหลายครั้ง ทำให้ทหารไทยพิการถาวรรวม 7 นาย โดยเหตุการณ์ล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2568 และต่อมา เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2568 


ทหารกัมพูชาจงใจเปิดยิงใส่ทหารไทยในดินแดนอธิปไตยของไทย การกระทำเหล่านี้ถือเป็นการละเมิดอย่างร้ายแรงต่อพันธกรณีที่มีร่วมกันภายใต้ “ถ้อยแถลงผลการหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรไทยและนายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรกัมพูชา ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย” ลงนามโดยผู้นำของไทยและกัมพูชาเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 ผ่านการเป็นคนกลางในการประสานงานของนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน และประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา


6. ประเทศไทยประณามอย่างรุนแรงต่อการรุกรานของกัมพูชา การโจมตีทางอาวุธโดยไม่เลือกเป้าหมายต่อพลเรือน โครงสร้างพื้นฐานทางพลเรือน และสถานที่สาธารณะต่างๆ และเจตนาที่ปรากฏชัดในการทำร้ายกำลังพลของไทยภายในอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย การกระทำที่เป็นปฏิปักษ์อย่างไร้ความรับผิดชอบและต่อเนื่องของกัมพูชาต่อไทยมีแต่จะเพิ่มความถึงเครียด ทำลายความมุ่งมั่นที่มีร่วมกันภายใต้ถ้อยแถลงร่วมฯ และข้อตกลงที่บรรลุในกรอบการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) และคณะกรรมการชายแดนภูมิภาค (RBC) อีกทั้งยังกัดกร่อนความไว้วางใจระหว่างกันซึ่งมีความจำเป็นต่อการมีปฏิสัมพันธ์อย่างสร้างสรรค์


7. ในการนี้ ไทยเรียกร้องให้กัมพูชาชี้แจงอย่างครบถ้วน รับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างเต็มที่และดำเนินมาตรการเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวซ้ำอีก ไทยร้องขอประชาคมระหว่างประเทศให้เรียกร้องต่อกัมพูชาให้ยุติการกระทำอันเป็นปฏิปักษ์และการยั่วยุทั้งหมดที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อประชาชนชาวไทย ทำลายความมั่นคงชายแดน และเป็นการละเมิดอธิบไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทยซ้ำแล้วซ้ำเล่า กัมพูชาต้องปฏิบัติตามพันธกรณีภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศและกฎบัตรสหประชาชาติอย่างเต็มที่ และแสดงความจริงใจและสุจริตใจในการฟื้นฟูสันติภาพและเสถียรภาพบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา


ในการนี้ กระผมขอความอนุเคราะห์ให้เวียนหนังสือฉบับนี้แก่สมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติทุกประเทศ ในฐานะเอกสารของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ เพื่อให้รับทราบข้อมูลข้างต้นโดยเร่งด่วน

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง