รีเซต

BANPUชู3เสาหลักเด่น ถ่านหินพุ่งซื้อแหล่งก๊าซ

BANPUชู3เสาหลักเด่น ถ่านหินพุ่งซื้อแหล่งก๊าซ
ทันหุ้น
11 มีนาคม 2565 ( 07:05 )
183

#BANPU #ทันหุ้น - BANPU เคาะผลงานปีนี้เติบโตต่อเนื่อง ชู 3 ธุรกิจเสาหลักดีครบ ราคาถ่านหินขึ้นสูงเน้นรีดประสิทธิภาพ พร้อมซื้อแหล่งก๊าซเพิ่มในสหรัฐ เล็งคว้าโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ ส่วนธุรกิจเทคโนโลยีพลังงานมาแรง ยึดฐานที่มั่นลงทุนทั้งไทย จีน อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น เวียดนาม ออสเตรเลีย และสหรัฐ อัดงบ 1,300 ดอลลาร์สหรัฐ โบรกมองเป้า 15 บาท

 

นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU เปิดเผยว่า แนวโน้มผลดำเนินงานปี 2565 จะเติบโตต่อเนื่องจากปีก่อนที่อยู่ในระดับ 1.34 แสนล้านบาท โดยยังคงเดินหน้าสร้างการเติบโตตามกลยุทธ์ Greener & Smarter ใน 3 กลุ่มธุรกิจหลัก คือ กลุ่มธุรกิจแหล่งพลังงาน กลุ่มธุรกิจผลิตพลังงาน และกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีพลังงาน เพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่พอร์ตพลังงานที่สะอาดขึ้นและเทคโนโลยีพลังงานที่สอดคล้องกับเทรนด์พลังงานในอนาคต

 

สำหรับกลุ่มธุรกิจแหล่งพลังงาน ทางด้านธุรกิจเหมืองถ่านหินคาดว่าปีนี้จะผลิตปริมาณกำลังผลิตรวมอยู่ที่ 42 ล้านตัน จากแหล่งผลิตหลักใน จีน อินโดนีเซีย และออสเตรเลีย ที่จะมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการบริหารจัดการการต้นทุนเพื่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มสูงสุด ซึ่งแนวโน้มราคาถ่านหินยังปรับตัวสูงขึ้น

 

ส่วนก๊าซธรรมชาติยังให้ความสำคัญกับการเข้าไปลงทุนในสหรัฐเพื่อขยายฐานให้กว้างขึ้นจากดีมานด์ความต้องการยังมีอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งโอกาสใหม่ๆ ในธุรกิจกลางน้ำและธุรกิจผลิตพลังงานที่สามารถส่งเสริมและต่อยอดธุรกิจต้นน้ำที่มีอยู่ คาดว่าจะมียอดขายก๊าซธรรมชาติปี 2565  จะใกล้เคียงปีก่อนที่ 2.46 แสนล้านลูกบาศก์ฟุต หรือ 700 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน

 

ยึดฐานที่มั่นต่อยอด

 

สำหรับธุรกิจผลิตพลังงาน มุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของโรงไฟฟ้า รวมทั้งแสวงหาโอกาสการลงทุนในโรงไฟฟ้าใหม่ ๆ และยังเน้นในจีน ญี่ปุ่น เวียดนาม และออสเตรเลีย โดยเฉพาะพลังงานหมุนเวียนที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตที่มีประสิทธิภาพสูงและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (High Efficiency, Low Emissions : HELE) ขณะเดียวกันก็จะขยายการลงทุนไปสู่ตลาดใหม่ๆ ที่มีศักยภาพการเติบโตสูง ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

 

นอกจากนี้ยังมีธุรกิจเทคโนโลยีพลังงาน ที่ตั้งเป้าเติบโตแบบก้าวกระโดด (Scale Up) โดยขยายการให้บริการด้านพลังงานที่มีอยู่ ได้แก่ ยานยนต์ไฟฟ้า การผลิตแบตเตอรี่ การจัดการพลังงานและของเสีย (Energy and Waste Management) ควบคู่กับการเข้าลงทุนและพัฒนาบริการที่เกี่ยวข้องกับพลังงานรูปแบบใหม่ เพื่อสร้างศักยภาพธุรกิจ นอกจากนี้ยังศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนธุรกิจแร่แห่งอนาคต (Strategic Minerals) เช่นนิกเกิล ลิเธียม อะลูมิเนียมในออสเตรเลีย และอินโดนีเซีย เพื่อต่อยอดการเติบโตของกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีพลังงาน

 

“ตามกลยุทธ์ Greener & Smarter เพื่อให้บรรลุเป้าหมายผลักดัน EBITDA จากธุรกิจพลังงานที่สะอาดและธุรกิจเทคโนโลยีพลังงานเพิ่มขึ้นมากกว่า 50% และเป้าหมายกำลังการผลิตไฟฟ้า 6,100 เมกะวัตต์ ภายในปี 2568” นางสมฤดี กล่าว

 

อัดฉีดงบ 1.3 พันล้านดอลล์

 

อย่างไรก็ดีปี 2565 บริษัทได้วางแผนงบลงทุนจำนวน 1,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แบ่งเป็นลงทุนธุรกิจก๊าซ 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ธุรกิจพลังงานไฟฟ้า 700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน 400 ล้านดอลลาร์สหรับและโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซ 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และอีก 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลงทุนด้านเทคโนโลยีพลังงาน

 

ทั้งนี้ ในส่วนธุรกิจก๊าซ อยู่ระหว่างการเจรจาเข้าซื้อแหล่งก๊าซในสหรัฐ แต่โอกาสจะช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับการเจรจาราคา ขณะที่การเข้าซื้อกิจการโรงไฟฟ้ามีหลายโครงการ คาดว่าปี 2565จะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นใกล้เคียงกับปีก่อนที่มีจำนวนเพิ่มขึ้น 841 เมกะวัตต์ (MW)

 

ถ่านหินดันกำไรขาขึ้น

 

บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) ระบุว่าเชื่อว่าบริษัทจะยังคงได้ประโยชน์จากแนวโน้มราคาถ่านหินที่สูงในไตรมาส 1/2565 โดยล่าสุดราคาถ่านหินอิง Newcastle Export Index (NEX) ยืนอยู่ที่ 423 ดอลลาร์ต่อตัน เพิ่มขึ้น 149% ตั้งแต่ต้นปี เป็นผลจากความกังวลด้านอุปทานที่ลดลงจากผลกระทบของสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน

 

คาดว่ากำไรยืนสูงต่อเนื่องในปี 2565-2566 โดยคาดว่าบริษัทจะมีกำไรสุทธิที่ 1.3 หมื่นล้านบาท และ 1.27 หมื่นล้านบาท เทียบกับ กำไร 9.9 พันล้านบาทในปี 2564 โดยมีปัจจัยผลักดันจาก 1.ปริมาณการผลิตถ่านหินของธุรกิจในอินโดนีเซียและออสเตรเลียที่สูงขึ้น 2. การรับรู้ผลประกอบการของโครงการ Barnett เต็มปี และ 3. ผลขาดทุนจาก Hedging ที่น้อยลง ในช่วงที่ผ่านมายังไม่ได้สะท้อนแนวโน้มราคาถ่านหินที่แข็งแกร่งจากอุปทานที่ลดลงในอินโดนีเซียและความกังวลด้านอุปทานตึงตัวจากสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน

 

คงคำแนะนำ“ซื้อ” ราคาเป้าหมายปี 2565 ที่ 15.00 บาท อิงวิธี SOTP เรามองว่าราคาหุ้นในช่วงที่ผ่านมายังไม่ได้สะท้อนแนวโน้มราคาถ่านหินที่แข็งแกร่งจากอุปทานที่ลดลงในอินโดนีเซียและความกังวลด้านอุปทานตึงตัวจากสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน ทั้งนี้เชื่อว่าราคาถ่านหินที่สูงขึ้นและปริมาณการทำ Hedging ที่ลดลงในไตรมาส1/2565 จะช่วยลดผลกระทบเชิงลบระยะสั้นจากการห้ามส่งออกถ่านหินของ ITMG

 

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง