ปรับพอร์ตลงทุน สู้ศึกครึ่งปีหลัง 2025

เข้าสู่ช่วงครึ่งหลังปี 2025 สถานการณ์การลงทุนทั่วโลกยังคงเผชิญความท้าทายที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากความไม่แน่นอนในการเจรจาภาษีนำเข้าของสหรัฐฯกับคู่ค้า รวมถึงสงครามในตะวันออกกลางที่กลับมาปะทุขึ้นอีกครั้ง ทำให้การคาดเดาทิศทางเศรษฐกิจและจับจังหวะตลาดเป็นเรื่องที่ยาก กลยุทธ์การลงทุนในช่วงครึ่งปีหลัง จึงต้องเน้น “กระจายความเสี่ยง” และเลือกสินทรัพย์ที่เหมาะสมกับแต่ละสถานการณ์ โดยแบ่งได้เป็น 2 กรณีใหญ่ ดังนี้
1. กรณีเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) หากการเจรจาการค้าของสหรัฐฯกับคู่ค้าไม่สามารถบรรลุผลสำเร็จ สหรัฐฯเก็บภาษีประเทศคู่ค้าในอัตราที่ประกาศไว้เมื่อวันที่ 2 เม.ย. ที่ผ่านมา เศรษฐกิจโลกอาจมีแนวโน้มชะลอตัวอย่างต่อเนื่องจนเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย สินทรัพย์ที่จะสร้างผลตอบแทนได้ดีในสถานการณ์ดังกล่าว ได้แก่ ตราสารหนี้โลก (Global Bond) เป็นสินทรัพย์ที่จะได้ประโยชน์จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลก เพื่อประคองเศรษฐกิจไม่ให้เข้าสู่ภาวะถดถอย ทำให้ราคาตราสารหนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นสวนทางกับอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง โดยจากสถิติย้อนหลังนับตั้งแต่ Recession ปี 1950 จนถึงครั้งล่าสุดปี 2020 ตราสารหนี้โลกให้ผลตอบแทนเฉลี่ยราว 4.6%
ทองคำ เป็นสินทรัพย์ที่สร้างผลตอบแทนได้ดีในสถานการณ์ที่เงินเฟ้อสูง โดยในครั้งนี้ ภาวะเงินเฟ้อสูงมีโอกาสเกิดขึ้นได้ทั้งจากสงครามตะวันออกกลางที่รุนแรงกว่าคาดจนทำให้ราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว และ จากการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯที่ส่งผลให้ราคาสินค้าปรับตัวเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ทองคำยังสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยได้สูงถึงราว 5-16% ในช่วงที่เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยด้วยเช่นกัน
2. กรณีไม่เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Non-Recession) หากการเจรจาการค้าของสหรัฐฯกับคู่ค้าสามารถบรรลุผลสำเร็จ สหรัฐฯเก็บภาษีประเทศคู่ค้าต่ำกว่าที่ประกาศไว้เมื่อวันที่ 2 เม.ย. ที่ผ่านมา เศรษฐกิจโลกและกำไรบริษัทจดทะเบียนจะมีแนวโน้มกลับมาขยายตัว ซึ่งจะส่งผลบวกกับตลาดหุ้น กลยุทธ์การลงทุนหุ้นที่แนะนำ ได้แก่ ตลาดหุ้นอินเดียและญี่ปุ่น เนื่องจากทั้งสองประเทศถูกสหรัฐฯเรียกเก็บภาษีนำเข้าต่ำกว่าประเทศอื่นๆ โดยอินเดียถูกสหรัฐฯเรียกเก็บภาษีเพียง 26% และญี่ปุ่นถูกเรียกเก็บภาษีราว 24% ซึ่งเป็นระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยภาษีนำเข้าที่สหรัฐฯประกาศเก็บกับคู่ค้าที่ระดับ 30%
นอกจากนี้ อินเดียและญี่ปุ่นยังพึ่งพาการส่งออกไปที่สหรัฐฯเพียงแค่ 2% และ 4% ของ GDP ตามลำดับ และเป็นเศรษฐกิจที่พึ่งพาการบริโภคภายในประเทศเป็นหลัก คิดเป็นกว่า 50% ของ GDP ทำให้ทั้งสองประเทศได้รับผลกระทบจำกัดจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ
ทั้งนี้ อินเดียยังมีโอกาสสูงที่จะได้รับประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตออกจากจีนและก้าวขึ้นมาเป็นโรงงานแห่งใหม่ของโลก ทำให้เศรษฐกิจยังเติบโตสูงในระยะยาว ในขณะที่ ญี่ปุ่นยังได้รับแรงหนุนจากค่าเงินเยนที่มีแนวโน้มอ่อนค่าและการปรับขึ้นค่าจ้างที่สูงสุดในรอบกว่า 3 ทศวรรษ
หุ้น Super Stocks บริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรม Megatrends เช่น กลุ่มปัญญาประดิษฐ์ (AI) กลุ่มเทคโนโลยีด้านสุขภาพ กลุ่ม E-commerce และกลุ่มพลังงานหมุนเวียน ที่มีแนวโน้มการเติบโตเฉลี่ยของตลาดอยู่ที่ราว 10-30% ในช่วง 10 ปีข้างหน้า สูงกว่า GDP โลกที่คาดว่าจะขยายตัวอยู่ในกรอบเพียง 2-3% ต่อปี โดยเน้นลงทุนบริษัทเป็นผู้นำตลาดที่มีความสามารถในการแข่งขัน ขยายธุรกิจและขายสินค้าไปได้ทั่วโลก ไม่จำกัดเฉพาะแค่ในสหรัฐฯ
อีกทั้งในช่วงที่ 10 ปีที่ผ่านมา หุ้น Super Stocks สามารถสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยราว 20-30% ต่อปี เอาชนะดัชนีตลาดหุ้นโลก (MSCI ACWI) ที่ให้ผลตอบแทนราว 10% โดยเฉลี่ยต่อปีไปอย่างขาดลอย ทั้งที่มีวิกฤตตลาดหุ้นเกิดขึ้นหลายครั้งระหว่างทาง ยกตัวอย่างเช่น สงครามการค้า ปี 2018-2019 หรือวิกฤต COVID-19 ปี 2020 ตลอดจนสงครามรัสเซีย-ยูเครน ปี 2022 สะท้อนให้เห็นว่า การลงทุนในหุ้น Super Stocks สามารถสร้างผลตอบแทนที่ยอดเยี่ยม โดยไม่ต้องจับจังหวะตลาดหรือปรับพอร์ตตามวัฏจักรเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเศรษฐกิจโลกจะเดินหน้าเข้าสู่ภาวะถดถอยหรือไม่ โอกาสในการลงทุนก็ยังคงมีอยู่เสมอ หัวใจของกลยุทธ์การลงทุนในช่วงครึ่งปีหลัง จึงอยู่ที่การกระจายความเสี่ยงและสร้างพอร์ตการลงทุนเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับความไม่แน่นอน เปรียบเสมือนการไม่คาดการณ์พายุ แต่มุ่งเน้นการสร้างเรือลำที่แข็งแรง ทนทานและสามารถฟันฝ่าสถานการณ์ทุกรูปแบบไปได้
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
