อยุธยาฯ จมน้ำ 4 เดือน เพราะน้ำเหนือ หรือเพราะคนสั่งงานผิด?

ดร.สนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก เกี่ยวกับทำไมน้ำท่วมขังในลุ่มภาคกลางยาวนานกว่า 4 เดือนในปี 2568?
ปัญหาน้ำท่วมขังในพื้นที่ลุ่มภาคกลาง โดยเฉพาะจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ชัยนาท สิงห์บุรี และอ่างทอง ซึ่งยาวนานกว่า 4 เดือนในปี 2568 ไม่ได้เป็นเพียงผลจากปริมาณฝนที่มากผิดปกติเท่านั้น แต่เกิดจากความผิดพลาดในการบริหารจัดการน้ำที่สะสมมานานและซ้ำเติมด้วยการตัดสินใจเชิงนโยบายที่ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์จริง การลงพื้นที่ของนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2568 และการยอมรับว่ามีการตัดสินใจระบายน้ำผิดพลาด ทำให้ประชาชนได้รับผลกระทบรุนแรง ยิ่งสะท้อนให้เห็นว่าระบบบริหารจัดการน้ำของไทยยังมีปัญหาเชิงโครงสร้าง
การเพิ่มอัตราระบายน้ำจากเขื่อนเป็น 2,900 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาทีในช่วงที่พื้นที่ลุ่มเจ้าพระยาตอนล่างยังมีน้ำท่วมขังอยู่มาก ทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำน้อย และคลองสาขาต่าง ๆ เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้พื้นที่ 13 อำเภอในจังหวัดอยุธยา หรือกว่า 162 ตำบล ถูกน้ำท่วมกว่า 920 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบกว่า 59,000 ราย แม้สถานการณ์น้ำปีนี้ไม่กินพื้นที่วงกว้างเหมือนปี 2554 แต่ผลกระทบในบางพื้นที่กลับรุนแรงกว่า โดยเฉพาะพื้นที่ลุ่มต่ำที่ทำหน้าที่เป็นแก้มลิงรองรับน้ำหลากจากภาคเหนือ
ปัจจัยสำคัญประการแรกคือการคาดการณ์ปริมาณฝนผิดพลาดนโยบายของคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สนทช.) กำหนดให้เขื่อนมีปริมาณน้ำไม่น้อยกว่า 80% ณ วันที่ 1 พฤศจิกายน 2568 แต่ในปีนี้ฝนตกหนักตั้งแต่ต้นฤดู โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือ ทำให้เขื่อนขนาดใหญ่มีปริมาณน้ำมากจนใกล้เต็มตั้งแต่กลางฤดูฝน อย่างไรก็ตามยังเคยมีการระบายน้ำออกจากเขื่อนในอัตราที่ค่อนข้างน้อย ทำให้เมื่อเข้าสู่ปลายฤดูฝนและมีพายุเข้าซ้ำ เขื่อนจึงจำเป็นต้องระบายน้ำจำนวนมากลงสู่พื้นที่ลุ่มภาคกลางในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสม
นอกจากนี้ การบริหารจัดการน้ำยังเน้นการระบายในแนวดิ่ง หรือระบายตรงลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยา แทนที่จะกระจายน้ำเข้าทุ่งรับน้ำแบบ “ก้างปลา” ซึ่งเป็นระบบเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุข ทำให้ช่วงครึ่งหลังของลุ่มเจ้าพระยา โดยเฉพาะอยุธยา กลายเป็นพื้นที่รับน้ำหลักเพื่อป้องกันน้ำหลากเข้าสู่กรุงเทพฯและปริมณฑล ทุ่งบางกุ้ง ทุ่งบางบาล–บ้านแพน ทุ่งป่าโมก ทุ่งผักไห่ และทุ่งเจ้าเจ็ด จึงต้องยอมรับน้ำจำนวนมากจนเกิดน้ำท่วมขังยาวนาน
อีกหนึ่งปัญหาที่สำคัญคือความซ้ำซ้อนของหน่วยงานบริหารน้ำซึ่งยังไม่มีระบบ Single Command ที่ชัดเจน ประชาชนไม่รู้ว่าใครคือผู้ตัดสินใจหลักระหว่างกรมชลประทาน สทนช. หรือคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ การขาดเอกภาพในการสั่งงานทำให้การเปิดประตูน้ำ การควบคุมระดับน้ำ และการแจ้งเตือนประชาชนเป็นไปอย่างล่าช้าและขาดประสิทธิภาพ
ท้ายที่สุด การบริหารจัดการน้ำในปัจจุบันยังมุ่งเน้นการ “บรรเทา” มากกว่าการ “ป้องกันเชิงรุก” โดยรัฐบาลให้ความสำคัญกับการเยียวยาผู้ประสบภัย เช่น การจ่ายเงินช่วยเหลือครัวเรือนละ 9,000 บาท มากกว่าการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานระยะยาว ซึ่งมีเพียงโครงการขุดคลองระบายน้ำหลากบางบาล–บางไทรที่เห็นความก้าวหน้า ส่วนโครงการอื่นยังล่าช้าและไม่เป็นรูปธรรม
ดังนั้น ปัญหาน้ำท่วมภาคกลางจึงไม่ใช่เรื่องธรรมชาติเท่านั้น แต่เป็นผลลัพธ์ของนโยบายและระบบบริหารจัดการน้ำที่ขาดความยืดหยุ่น การคาดการณ์ผิดพลาด การสั่งงานที่ไม่เป็นหนึ่งเดียว และการขาดการลงทุนระยะยาว หากแนวทางการจัดการน้ำยังคงดำเนินเช่นเดิม น้ำท่วมภาคกลางก็จะเกิดขึ้นซ้ำทุกปี และจังหวัดอยุธยาจะยังคงเป็น “พื้นที่รองรับน้ำ” ที่แบกรับภาระของระบบทั้งประเทศต่อไป
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
