"ทองคำ" เตือน "เศรษฐกิจโลก" การพุ่งขึ้นของ "สินทรัพย์เสี่ยง" อาจเป็นเพียง "ภาพลวงตา"

สงครามปะทุ ผู้คนล้มตาย เศรษฐกิจหยุดชะงัก แต่ราคาทองพุ่งสูง โรคระบาดคุกคามโลก ล็อกดาวน์เมืองใหญ่ ผู้คนถูกกักอยู่แต่ในบ้าน ราคาทองก็พุ่งสูง สงครามการค้า คำขู่กำแพงภาษี เศรษฐกิจระส่ำระส่าย ทองคำทะยานไม่หยุด นี่คือ Safe Haven สินทรัพย์ปลอดภัย ฝ่าด่านทุกวิกฤต
“We have gold because we cannot trust governments.” นี่คือสปีชอมตะของ เฮอร์เบิร์ต ฮูเวอร์ อดีตประธานาธิบดีคนที่ 31 ของสหรัฐอเมริกา ผู้มีบทบาทสำคัญกับระบบเศรษฐกิจสหรัฐฯ และโลกในช่วงยุค 1930 หรือช่วงเวลาของ "Great Depression" นั่นเอง
สปีชนี้ของฮูเวอร์ แฝงนัยยะหลายอย่าง บ่งบอกว่า "ทองคำ" ไว้ใจได้มากกว่ารัฐบาลที่บริหารประเทศ และกำหนดนโยบายทางเศรษฐกิจ ทองคำมีบทบาท สำคัญต่อเศรษฐกิจตั้งแต่เมื่อไหร่ มีบทบาทอย่างไร จนได้รับการขนานนามว่า "สินทรัพย์ปลอดภัย" ผ่านทุกวิกฤติของโลกทั้งสงคราม เศรษฐกิจ โรคระบาด เรามาร่วมกันหาคำตอบไปพร้อม ๆ กัน
"ทองคำ" มีประวัติศาสตร์ยาวนานก่อนคริสตกาล ยากที่จะสรุปว่ามนุษย์รู้จัก หรือใช้ทองคำตั้งแต่ตอนไหน บางตำราบอกว่ามนุษย์นำแร่ทองคำที่อยู่ใต้ดินมาใช้เมื่อราว 4,000-6,000 ปีที่แล้ว บ้างก็ว่ากันว่าทองคำมีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า "40,000 ปี" ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ยุคแรกทองคำถูกนำมาใช้เป็นเครื่องตกแต่งในพิธีกรรมทางศาสนา แสดงความรุ่งเรืองและอำนาจ เมื่อโลกขยายตัว สินค้าหลากหลายขึ้น มนุษย์เห็นพ้องว่าต้องมีสื่อกลางการแลกเปลี่ยน
สิ่งสิ่งนั้น ต้องจับต้องได้ คงรูป พกพาสะดวก หาไม่ได้ง่ายนัก แต่ก็ต้องมีมากพอเพื่อให้เกิดการหมุนเวียนในระบบการแลกเปลี่ยนได้ คำตอบที่ได้ก็คือ "ทองคำ" แม้ในยุคแรก ๆ จะมีการใช้ทั้งเงิน และโลหะอื่น ๆ เป็นตัวกลางแลกเปลี่ยนซื้อขาย แต่ทองคำถูกจัดให้เป็นเงินตราที่มีค่าขั้นสูงสุด ด้วยคุณสมบัติ และความสวยงามแวววาว สังคมมนุษย์ในสมัยนั้นจึงยอมรับร่วมกันว่าทองคำมีค่าสูงสุด
ดร.พิบูลย์ฤทธิ์ วิริยะผล ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำ ได้ให้ความเห็นว่า "ในช่วงแรกอาจจะเป็นลักษณะของการนำมาเป็นเครื่องประดับ และก็เริ่มเอามาเป็นอุปกรณ์ต่างๆ สำหรับชนชั้นสูงในยุคโบราณ เป็นส่วนประกอบของไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าอาภรณ์อะไรต่างๆ เพราะหลังจากนั้น ก็เริ่มรู้สึกว่าทองคำนอกจากการเป็นเครื่องประดับ การเอามาทำเป็นเครื่องใช้ เครื่องอุปโภคบริโภค ก็เริ่มที่จะเปลี่ยนแปลงไปในลักษณะของการเป็นสินทรัพย์แทนเงิน
หลังจากที่การค้าขายของมนุษย์เราเกิดขึ้นในหลายพันปี ก็ช่วงแรกก็จะเป็นลักษณะของการบาเตอร์กัน มีสิ่งของที่บ้านนี้ หรือหมู่บ้านนี้มี อีกหมู่บ้านนึงมีอะไรเอามาแลกเปลี่ยนกัน คราวนี้พอมันมีความต้องการไม่ตรงกันนะครับ มันไม่สามารถที่จะแมทช์กันได้ระหว่างความต้องการที่จะแลกเปลี่ยนของกัน ก็เลยจะต้องมีสินค้า ที่เป็นเหมือนทรัพย์สินชิ้นหนึ่งที่ใช้เป็นการแลกเปลี่ยน ก็เหมือนกับเป็นเรียกว่าเป็นสกุลเงินตราในช่วงแรกๆ ของประวัติศาสตร์โลก"
จนถึงยุคที่โลก ต้องการมาตรฐานทางเศรษฐกิจในเรื่องของมูลค่า จึงเกิดการผลิตเหรียญสินค้า หรือเหรียญโลหะขึ้น ราว 700 ปีก่อนคริสตกาล เหรียญทองคำยุคแรก ๆ ผลิตจากแร่เงินผสมทอง ประทับตราพระเจ้าแผ่นดิน ในสมัยกษัตริย์โครเอซัสแห่งเมืองลีเดีย หรือส่วนหนึ่งของตุรกีในปัจจุบัน มันเป็นเสมือนเงินตราสกุลแรกของโลก ทำให้ระบบการค้ากำหนดมูลค่ามาตรฐานให้กับสินค้าที่ซื้อขายกันได้
ทองคำกลายมาเป็นโลหะที่นิยมใช้ในการผลิตเหรียญทั่วทั้งยุโรป ไม่ว่าจะเหรียญกษาปณ์ทองคำ Ducat ในอิตาลี ปี 1284 เหรียญฟลอรินในบริเตนใหญ่ ปี 1344 โดยที่ในเวลาเดียวกัน เศรษฐกิจอื่น ๆ ของโลกก็เติบโตขึ้นด้วยเงินคู่ขนานกันไป แต่แล้ววันหนึ่ง ทองคำก็เปลี่ยนไปอย่างมีนัยยะสำคัญ ที่เราเรียกว่า Gold Standard
ปี ค.ศ. 1730 ในช่วงที่เศรษฐกิจและการเงินไม่แน่นอน ได้เกิดปรากฎการณ์สำคัญของโลกการเงิน คือ "มาตรฐานทองคำ" หรือ Gold Standard ขึ้น มันมาจากการกำเนิดของเงินตราสกุลต่าง ๆ ที่ใช้กันในแต่ละประเทศ เมื่อเงินตรามากมายผุดขึ้น ผู้คนก็สับสนว่า แล้วค่าเงินแต่ละประเทศควรจะเป็นเท่าไหร่ อะไรล่ะที่เราจะใช้เปรียบเทียบมูลค่าระหว่างสกุลเงิน จึงเกิดการกำหนดให้สกุลเงินแต่ละประเทศ ต้องผูกติดกับมาตรฐานทองคำ โดยธนาคารกลางของแต่ละประเทศจะกำหนดมูลค่าของสกุลเงินของตนเองให้เท่ากับมูลค่าของทองคำที่ประเทศเหล่านั้นถือครอง นั่นทำให้สกุลเงินของแต่ละประเทศประเทศ แลกเปลี่ยนได้ไม่เพียงแค่ทองคำเท่านั้น แต่แลกเปลี่ยนกันระหว่างสกุลเงินได้อีกด้วย
มาตรฐานทองคำเริ่มต้นขึ้นในสหราชอาณาจักร และชาติอาณานิคมในช่วงต้นทศวรรษ 1800 ท่ามกลางเศรษฐกิจ การค้าโลกที่เฟื่องฟู ประเทศต่าง ๆ ต่างก็ใช้มาตรฐานทองคำเพื่อรับรองว่า ธนบัตร เหรียญ หรือเงินตราของประเทศนั้น ๆ มีมูลค่าเท่าไหร่ โดยมีสินทรัพย์ที่แท้จริงคือทองคำเป็นหลักประกัน
รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดี คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ให้ความเห็นว่า "ทองคำเป็นโลหะมีค่า เป็นของหายาก ฉะนั้นก็มีคุณสมบัติของการที่จะใช้เป็นเงินได้ แต่สำคัญมากกว่านั้น คือใช้หนุนหลังค่าเงิน หนุนหลังธนบัตร ที่มีการพิมพ์ออกมาใช้ในระบบเศรษฐกิจ ระบบเศรษฐกิจ ระบบการเงินโลกเนี่ย มันก็อยู่ภายใต้มาตรฐานทองคำมายาวนานมาก"
แต่ Gold Standard ไม่ได้คงกระพัน แม้ทองคำจะยังมีเสถียรภาพต่อเนื่องมานับร้อยปี ทองคำ เกิดการเปลี่ยนแปลงสำคัญอีกครั้ง และมันก็เปลี่ยนไปเพราะสงครามโลกครั้งที่ 1 เมื่อประเทศที่เข้าร่วมสงครามยกเลิกแลกเปลี่ยนเงินตรากับทองคำ และห้ามส่งออกทองคำ เพื่อพิทักษ์ทุนสำรองของประเทศ
ไม่เพียงเท่านั้น ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 กลายเป็นว่า มาตรฐานทองคำ เป็นอุปสรรคต่อการจัดหาทุนที่เพิ่มสูงขึ้นมากจากภาวะสงคราม เมื่อมันไม่ตอบสนองความต้องการของธนาคารแต่ละประเทศ มาตรฐานทองคำก็ถูกลดความสำคัญลง
จุดเปลี่ยนสำคัญ คือ การเข้ามาของเฮอร์เบิร์ต ฮูเวอร์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่มาจากพรรค "รีพับลิกัน" เขาประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าเกษตร และอุตสาหกรรมจากยุโรป สูงสุดถึง 60% ในปี 1930 หรือ Smoot-Hawley Act เพื่อหวังแก้ปัญหาเศรษฐกิจ แต่เมื่อสหรัฐฯ ประกาศใช้มาตรการดังกล่าว ประเทศต่าง ๆ เผชิญความยากลำบากในการส่งสินค้าไปยังสหรัฐฯ ที่สุดแล้ว ฟางเส้นสุดท้ายสะบั้นลง
เมื่อ 25 ประเทศตอบโต้สหรัฐฯ ด้วยการเพิ่มภาษีศุลกากรของตนเองด้วย ถึงตอนนี้ราคาสินค้าก็พุ่งขึ้นไปหลายเท่า นี่คือปรากฎการณ์ที่มาก่อนการณ์ของภาษีทรัมป์ ที่เรากำลังเจอในยุคปัจจุบัน ห่างจากเวลานั้นมาเกือบ 100 ปี ผลลัพธ์ คือการค้าระหว่างประเทศลดลงมากกว่า 60% หรือ 2 ใน 3 ระหว่างปี 1929 ถึง 1934 สาดเกลือใส่แผลสดจากสงครามโลกครั้งที่ 1 ให้เศรษฐกิจช้ำหนักไปอีก นั่นนำมาสู่เศรษฐกิจที่ตกต่ำยาวนาน และเป็นชนวนของ “สงครามโลกครั้งที่สอง”
จนเมื่อสงครามโลกครั้งที่สอง ใกล้จะสิ้นสุด มหาอำนาจตะวันตกนำโดยสหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา บรรลุข้อตกลง “เบรตตันวูดส์” ซึ่งกลายมาเป็นมาตรฐานสำหรับตลาดเงินตราโลกจนถึงปี 1971
รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดี คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ยังให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า "จนกระทั่งมาถึงยุคสมัยประธานาธิบดีนิกสันเนี่ย สหรัฐก็ประสบปัญหาทางเศรษฐกิจ แล้วก็ใช้เงินจำนวนมากในการทำสงครามเวียดนาม ในขณะเดียวกันก็มีปัญหาการขาดดุลงบประมาณ ปัญหาการขาดดุลการค้าขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ทำให้ความเชื่อมั่นต่อดอลลาร์เนี่ยมันลดลง แต่ดอลลาร์เนี่ยมันมี มันมีทองคำหนุนหลังอยู่ ในระบบเบรตตันวูดส์ ซึ่งพอสหรัฐมีปัญหาเนี่ย สหรัฐก็เลยประกาศว่าทุกคนที่ถือดอลลาร์อยู่เนี่ย ไม่สามารถเอามาแลกเป็นทองคำได้
ต่อไปก็คือ ปล่อยให้ค่าเงินดอลลาร์ลอยตัวตามอุปสงค์อุปทานในตลาดปริวรรตเงินตราซึ่งก็ทำให้ดอลลาร์เนี่ย ทรุดตัวและตกต่ำมาก แต่เนื่องจากว่าสหรัฐอเมริกาก็มีความเป็นมหาอำนาจทางการเมือง มหาอำนาจทางเศรษฐกิจ มหาอำนาจทางการทหารอยู่ ก็บอกว่าต่อไปการซื้อขายพลังงานหรือซื้อขายน้ำมันเนี่ย จะต้องซื้อขายในรูปเงินดอลลาร์ ฉะนั้นมันก็ยังประคับประคองมูลค่าของดอลลาร์อยู่"
แต่ มาตรฐานทองคำ ไม่ได้ถูกฝังไปตลอดกาล เพราะการกำหนดให้เงิน 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ สามารถแปลงเป็นทองคำได้ในอัตราคงที่คือ 35 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ หรือราว 31.1 กรัม เรียกว่า ระบบค่าเสมอภาค นั่นทำให้ระบบการเงินโลกยังคงมีลักษณะคล้ายมาตรฐานทองคำ ถึงแม้จะเป็นในทางอ้อมผ่านดอลลาร์สหรัฐ ที่เรียกว่า Dollar Standard
การเข้าสู่ "Dollar Standard" มาตรฐานการเงินใหม่ของโลก ไม่ได้ทำให้ทองคำหมดความสำคัญลงไปแต่อย่างใด ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่ได้รับความนิยมในฐานะที่เป็น "สินทรัพย์ปลอดภัย" เป็น Safe Haven ที่ปลอดภัยจากวิกฤตต่าง ๆ และธนาคารกลางทั่วโลกได้เพิ่มการถือครองทองคำแท่งจำนวนมหาศาล
จากเดิมที่ประเทศต่าง ๆ สะสมทองคำเพื่อแสดงความมั่งคั่ง จนเข้าสู่ช่วงในช่วงศตวรรษที่ 19 ธนาคารเข้ามามีบทบาทในการถือครองทองคำสำรองแทนที่รัฐบาล เพื่อเป็นหลักประกันเงินฝากที่ต้องชำระคืนเป็นทองคำเมื่อผู้ฝากเงินต้องการ รวมถึงการออกธนบัตรที่สามารถแลกคืนเป็นทองคำได้
แต่เมื่อเวลาผ่านไป ทองคำสำรองส่วนใหญ่ตกไปอยู่ในการครอบครองของธนาคารกลาง เนื่องจากธนบัตรของธนาคารพาณิชย์ถูกแทนที่ด้วยธนบัตรของธนาคารกลาง ธนาคารพาณิชย์จึงไม่จำเป็นต้องสำรองทองคำอีกต่อไป
รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดี คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า "เริ่มตั้งแต่ยุคประมาณ 1700 กว่า ๆ เป็นระบบที่ค่อนข้างเป็นทางการ แต่ก่อนหน้านี้เนี่ยทุกประเทศก็สะสมทองคำอยู่แล้ว อย่างสมมุติมันเป็นระบบการปกครองแบบโบราณอย่างอาณาจักรต่างๆ ก็สะสมทองคำ เพราะมันเป็นมันเป็นทรัพย์สินมีค่าอย่างหนึ่ง แต่ว่าการที่เอาทองคำมาใช้ในระบบทุนสำรอง ที่เป็นระบบมาตรฐานทองคำเนี่ยก็ ค.ศ. 1700 กว่าๆ"
เป็นเวลามากกว่า 300 ปีที่อาณาจักร หรือประเทศต่าง ๆ สะสมทองคำ การถือครองทองคำสำรองของโลกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากในปี 1845 ที่มีเพียงสหราชอาณาจักรและฝรั่งเศส ที่มีทองคำสำรอง ซึ่งมีอยู่รวมกันเพียง 84 ตันเท่านั้น ก่อนที่ธนาคารกลางทั่วโลกจะเพิ่มการสำรองทองคำเพิ่มขึ้นจนแตะหลักพันตันในช่วงปี 1875 และทะลุหลักหมื่นตันในช่วงปี 1920 และในปี 2025 ปริมาณทองคำสำรองของโลกก็พุ่งสูงขึ้นทะลุ 60,000 ตัน
และเมื่อคิดเป็นมูลค่า ณ ปัจจุบัน จะพบว่าทองคำแซงเงินสกุลยูโรขึ้นมาเป็นเป็นสินทรัพย์สำรองอันดับ 2 ของโลก เป็นรองเพียงแค่ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่านั้น โดยคิดเป็นสัดส่วนราว 19% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ 47% และยูโรที่ 16% ถือเป็นสัดส่วนที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว จากเดิมในช่วงปี 2000 ที่ทองคำคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 8% ของสินทรัพย์สำรองโลกเท่านั้น
ในปี 2024 ประเทศที่มีทองคำสำรองมากที่สุดในโลกก็คือสหรัฐอเมริกา อยู่ที่ 8,133 ตัน ตามมาด้วยเยอรมันนี 3,351 ตัน อิตาลี 2,451 ตัน ฝรั่งเศส 2,437 ตัน และรัสเซีย 2,332 ตัน
ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ทองคำมีบทบาทสำคัญ จนกลายเป็นสินทรัพย์ที่ยืนหยัดคู่กับระบบการเงินโลก คือมันทนทานต่อวิกฤตต่าง ๆ ทั้งเศรษฐกิจ ความขัดแย้งระหว่างประเทศ สงคราม ไม่ว่าจะตั้งแต่อดีต มาจนถึงปัจจุบัน
เมื่อเกิดความไม่สงบทางภูมิรัฐศาสตร์ ก็มักจะส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจ ทั้งทางตรงกับประเทศที่เป็นคู่ขัดแย้ง รวมถึงทางอ้อม ไปยังประเทศรอบข้าง หรือประเทศอื่น ๆ ที่มีระบบเศรษฐกิจเชื่อมโยงกัน เมื่อสงครามสร้างความปั่นป่วนทางเศรษฐกิจ ผลักดันให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ และสร้างความผันผวนให้กับสกุลเงิน รวมถึงสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก ทองคำก็จะเป็นที่ต้องการมากขึ้น แน่นอนว่า เมื่อความต้องการถือครองทองคำทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้น ราคาทองคำก็ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย
ดร.พิบูลย์ฤทธิ์ วิริยะผล ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำ ได้ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า "เราต้องย้อนกลับไปในช่วงประมาณสงครามอ่าว หรือ Gulf War ปัญหาการระหว่างคูเวตกับอิรัก เป็นช่วงแรกที่ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ถูกมองว่าโดดเด่นมากๆ สำหรับการเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย น้ำมันในช่วงนั้นที่เป็นสงครามอ่าว มีทั้งซาอุดีอาระเบีย อิรัก อิหร่าน หรือคูเวตก็เป็นประเทศที่ผลิตพลังงานน้ำมันเป็นหลัก พอมีการโจมตีกัน การขนส่งน้ำมันเกิดความลำบากมากขึ้น ก็ทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นมาก
และประเทศทางฝั่งตะวันออกกลางก็มีความนิยมชมชอบในเรื่องของทองคำเป็นหลักอยู่แล้ว พอราคาน้ำมันสูงขึ้น ทองคำถูกจัดว่าเป็นสินทรัพย์ที่เอาไว้รับประกันเงินเฟ้อ ก็เลยปรับตัวสูงขึ้นไปด้วย นักลงทุนทั่วโลกเริ่มมองเห็นว่าช่วงสงคราม ทองคำกลับถูกวิ่งเข้าหา ซึ่งตามปกติสินทรัพย์ทั่วโลก ถ้ามีสงครามจะถูกเทขายออกมา แต่ว่าตัวเงินที่ออกมาจากการเทขายสินทรัพย์ทั่วโลกก็พยายามจะหาที่อยู่ที่จะไปพักเงินเอาไว้จาก Fund flow ที่ถูกขายออกมา ปรากฏว่านอกจากน้ำมัน ณ ตอนนั้นเองที่ถือว่าเป็น Black gold ก็คือสินทรัพย์ที่มีคุณค่ามาก เป็นพลังงานที่มีคุณค่ามากนะครับ เขาก็มองเห็นว่าทองคำเองก็เป็นสินทรัพย์ที่เอามาพักเงินเอาไว้ได้"
หลังนับถอยหลังเข้าสู่สหัสวรรษใหม่ในปี 2000 ราคาทองก็เข้าสู่ยุคทองสมชื่อ จากจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์ 9/11 ในปี 2001 จนกระทั่งการก่อตั้ง SPDR Gold Trust กองทุนทองคำที่ใหญ่ที่สุดในโลกในปี 2004 ราคาทองคำปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจนทำจุดสูงสุดใหม่อีกครั้งในเดือนมีนาคม 2008 ด้วยราคา 1,035 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์
และอีกไม่กี่ปีต่อมา กลางวิกฤต "ซับไพรม์" หรืออีกชื่อหนึ่งก็คือ "วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์" ที่เกิดจากตลาดอสังหาริมทรัพย์ในอเมริกา "ฟองสบู่แตก" จนเกิดการผิดนัดชำระหนี้ครั้งใหญ่ และเกิดวิกฤตสินเชื่อด้อยคุณภาพขั้นรุนแรง
ตามมาด้วยวิกฤตหนี้ยุโรปในปี 2011 โดยเฉพาะประเทศกรีซที่เกือบจะล้มละลาย เงินสกุลยูโรขาดความเชื่อมั่นอย่างรุนแรง ซ้ำด้วยการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ อัดฉีดเงินเข้าระบบผ่านนโยบาย "ผ่อนคลายเชิงปริมาณ" หรือ Quantitative Easing หรือการทำ QE เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
ยิ่งทำให้ความต้องการทองคำพุ่งขึ้น มันกลายเป็นหลุมหลบภัยจากความเสี่ยงของระบบการเงิน และความกลัวเงินเฟ้อที่อาจตามมาจากการพิมพ์เงินจำนวนมหาศาล ส่งผลให้ราคาทองคำพุ่งขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่ในปี 2011 ที่ 1,920 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อทรอยออนซ์
ไม่เพียงแต่วิกฤตทางเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ หรือสงคราม แต่ทองคำยังเป็นสินทรัพย์โดดเด่น และมีบทบาทสำคัญในช่วงวิกฤต "โควิด-19" ที่สร้างความบอบช้ำ และเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตคนบนโลกอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
การระบาดของไวรัสโคโรนาในปี 2019 สร้างความปั่นป่วนกับระบบเศรษฐกิจโลกอย่างรุนแรงอีกครั้ง แล้วเมื่อเกิดวิกฤต ก็ตามมาด้วยความต้องการทองคำในฐานะ "สินทรัพย์ปลอดภัย" มันทำให้เกิดแรงซื้อทองคำอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2019 จนถึงเดือนสิงหาคม 2020 ราคาทองพุ่งขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่อีกครั้งที่ 2,075 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ หรือเพิ่มขึ้นถึงเกือบ 80% ในระยะเวลาเพียง 15 เดือนเท่านั้น
ดร.พิบูลย์ฤทธิ์ วิริยะผล ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำ ได้ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า "ทองคำก็ถูกนำมาเป็นสินทรัพย์ที่เอาไว้พักเงินอีกครั้งหนึ่ง เป็นดาวเด่นอีกครั้ง เพราะฉะนั้นก็เลยกลายเป็นว่า ทุกๆ ครั้งที่มีความไม่ปกติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสภาวะเศรษฐกิจ หรือว่าสภาวะสงครามเองทองคำหลังจาก 3 เหตุการณ์ใหญ่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นสงครามอ่าว ซับไพรม์ แล้วก็เรื่องของสงครามโรค และสงครามการค้า ก็เลยทำให้ในระยะ 3 ปีที่ผ่านมาทุกๆ ครั้งที่เกิดเหตุการณ์ความไม่ปกติกับโลกเราทองคำมักจะถูกจับตาดูเป็นอันดับหนึ่ง"
เมื่อโควิด 19 คลี่คลายลง เศรษฐกิจโลกเผชิญกับความไม่แน่นอนอีกครั้งจากสงครามยูเครนและรัสเซีย ที่ปะทุขึ้นในปี 2022 ตามมาด้วยความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล ละกลุ่มฮามาส ในวันที่ 7 ตุลาคม 2023 ราคาทองปรับตัวขึ้นต่อเนื่องจาก 1,632 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อทรอยออนซ์ ในเดือนตุลาคม 2022 มาทำจุดสูงสุดใหม่ที่ 2,790 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ ในเดือนตุลาคม 2024)
และท่ามกลาง “สงครามการค้า” ที่พ่วงมาด้วยความขัดแย้งเพิ่มเติมในตะวันออกกลางระหว่างอิสราเอล และอิหร่าน ยิ่งเป็นแรงผลักดันต่อราคาทองคำ ให้พุ่งสูงขึ้นจนทำราคาสูงสุดใหม่เป็นว่าเล่นในปี 2025 ด้วยราคาสูงสุดในประวัติการณ์ที่ 3,500 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์
ถึงแม้ว่าทองคำ จะเป็นสินทรัพย์ยืนยงเคียงข้างเศรษฐกิจโลกมายาวนานหลายร้อยปี แต่ในปี 2009 ที่โลกได้รู้จักกับสินทรัพย์ดิจิทัลที่ชื่อว่า “บิทคอยน์” ที่กลายเป็นสินทรัพย์ร้อนแรง และถูกพูดถึงมากที่สุดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา กับคำถามที่ตามมาว่า บทบาทของทองคำกำลังถูกท้าทายหรือไม่
เป็นเวลาเพียง 16 ปีเท่านั้น ที่สกุลเงินดิจิทัล ก้าวขึ้นมามีบทบาทสำคัญในระบบการลงทุนโลก ทองคำใช้เวลาหลายร้อยปี จนได้รับการยอมรับ แต่สกุลเงินดิจิทัล ใช้เวลาไม่ถึง 2 ทศวรรษ ถือเป็นสินทรัพย์อายุน้อยมากที่สุดในโลกสินทรัพย์หนึ่ง ที่ระบบการเงินโลกยอมรับ เทคโนโลยี blockchain ที่ก่อเกิดคริปโตเคอร์เรนซี ส่งผลให้ระบบการเงินเปลี่ยนแปลงไป
เทคโนโลยีทำให้เกิดความเชื่อมั่นต่อระบบมากขึ้น ต่างจากระบบเดิมที่ต้องมีสถาบันการเงิน มีธนาคารกลาง คอยกำกับดูแล เทคโนโลยี blockchain กำลังปูทางสู่ระบบ Decentralized Finance หรือระบบการเงินกระจายศูนย์
แต่การที่คริปโตเคอร์เรนซี จะขึ้นมาเบียดทองคำในฐานะทุนสำรองระหว่างประเทศได้หรือไม่นั้น ตัวแปรสำคัญก็จะอยู่ที่ธนาคารกลางของหลาย ๆ ประเทศว่าจะให้การยอมรับคริปโตเคอร์เรนซีมากขนาดไหน
รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดี คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า "มันก็มีทั้งดีและไม่ดี มันขึ้นอยู่กับว่าเราเชื่อมั่นแบบไหน คือถ้าเราเชื่อในอำนาจเสรีภาพของปัจเจกบุคคล เราก็ต้องสนับสนุน แต่ถ้าถ้าเรามองว่าถ้าเกิดมันไม่กํากับควบคุมเลย เกิดมันเกิดปัญหาต่อระบบเนี่ย มันอาจจะมีปัญหาในเชิงเสถียรภาพ หรือเราคุมปริมาณเงินไม่ได้ มันอาจจะกระทบต่อภาพรวมของเศรษฐกิจ และระบบการเงิน มันก็อยู่ที่มันอยู่ที่ว่าเราเรามี Philosophy ปรัชญาความคิดในระบบการเงิน และระบบเศรษฐกิจแบบไหน คือถ้าเราเชื่อแบบเสรีภาพ เราต้องสนับสนุนคริปโตเคอร์เรนซี เพราะว่ามันไม่ต้องถูกคอนโทรลโดยรัฐ"
ในมุมหนึ่ง คริปโทเคอร์เรนซี ใกล้เคียงกับทองคำ ในหลักที่ว่า มันถูกคิดค้นขึ้นมาให้เป็นเป็นสินทรัพย์ที่มีอยู่อย่างจำกัด ขุดพบ หรือผลิตออกมาได้น้อยลงเรื่อย ๆ แต่ถ้าเราย้อนดูถึงประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ทองคำก็ทำหน้าที่เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพมาอย่างยาวนาน ผ่านพ้นทุกวิกฤตมาได้ ในช่วงที่สินทรัพย์อื่น ๆ เผชิญความเสี่ยง ทองคำยังคงเป็นตัวเลือกในการพักเงินในสภาวะไม่ปกติได้เป็นอย่างดี
เชื่อว่า อนาคตของทองคำ จะยังคงสำคัญ แต่พัฒนาการของคริปโทเคอร์เรนซี ก็ประมาทไม่ได้ เพราะได้รับความนิยม และยอมรับมากขึ้นเรื่อย ๆ และการที่คริปโทเคอร์เรนซีมีระบบถือครองที่ใช้นวัตกรรมที่สูงกว่า แต่กลับแทบไม่มีต้นทุนในการถือครองเลย นี่เป็นปัจจัยที่อาจทำให้คริปโทเคอร์เรนซีก้าวขึ้นมาเป็นสินทรัพย์ลงทุนทางเลือกที่มีความสำคัญเทียบทองคำได้ในอนาคต
ดร.พิบูลย์ฤทธิ์ วิริยะผล ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำ ได้ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า "อาจจะบอกว่าคู่เทียบที่เป็นคริปโทก็อาจจะเป็นคู่แข่งที่สำคัญของทองคำในการลงทุนก็เป็นไปได้ แต่ว่าถ้าจะเป็นคู่แข่งในทางอื่นคริปโทยังมีข้อจำกัดอีกเยอะ ทองคำเป็นโลหะ เป็นธาตุที่เป็นพื้นฐานจริงๆของโลก ไม่มีธาตุอื่นเข้ามาทดแทนได้ ทองคำมีความต้องการใช้มากกว่าคริปโท ถ้าเป็นเรื่องของการการใช้งานตามปกติ แต่ว่าถ้าเทียบกันกับเรื่องลงทุนก็อาจจะเป็นเป็นคู่แข่งที่ค่อนข้างที่จะสูสี
แต่นอกเหนือจากการลงทุน ทองคำยังถูกใช้ในอุตสาหกรรมจริงๆ อีกเยอะมากๆ ไม่ว่าจะเป็นจิวเวลรี่ อุตสาหกรรมรถยนต์ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และนอกนั้นก็ยังคงมีเรื่องของการที่เป็นทุนสำรองด้วย ในอนาคตก็ยังมีความสำคัญอยู่ ยังคงเป็นสินทรัพย์ที่ราคาคงจะเพิ่มขึ้นได้ไปเรื่อยๆ เพราะว่ายังมองไม่เห็นสินทรัพย์อื่นที่จะเป็นกลางได้มากขนาดนี้"
แต่เหรียญย่อมมีสองด้านเสมอ ทองคำเองก็เช่นเดียวกัน เมื่อมีปัจจัยที่สนับสนุนความแข็งแรงของทองคำได้ ก็ย่อมมีปัจจัยกดดันทองคำได้เช่นเดียวกัน หากโลกสงบสุข เศรษฐกิจคลี่คลาย ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ไม่มีอีกต่อไป สงครามการค้าจบสิ้นลง กลับกลายเป็นว่า ทองคำเสี่ยงถูกลดความสำคัญลง แต่สถานการณ์ที่สงบแบบ 100% ที่เป็นโลกในอุดมคติของเราทุกคน จะมีโอกาสเกิดขึ้นมากน้อยขนาดไหน
เพราะผ่านมานับร้อยปี โลกเผชิญเหตุการณ์ไม่ปกติต่าง ๆ มากมาย และในอนาคตก็คงไม่มีใครกล้าการันตีว่า เหตุการณ์ความไม่สงบ ความขัดแย้งเหล่านั้น จะไม่เกิดขึ้นบนโลกนี้อีกต่อไป ซึ่งถ้าโอกาสที่จะเกิดความสงบเรียบร้อย เศรษฐกิจแข็งแรงในทุกประเทศถ้วนหน้า มันมีน้อยจนเราไม่สามารถวางใจได้ ทองคำก็พร้อมที่จะเป็นสินทรัพย์ที่มีบทบาทสำคัญอยู่เคียงข้างกับระบบเศรษฐกิจโลกต่อไป
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
