สสวท.ชี้ไทยยังตรวจหาโควิดช้า ส่อระบาดยืดเยื้อ แนะแยกกลุ่มได้ผลเร็วกว่า

ศาสตราจารย์ชูกิจ ลิมิจำนงค์ ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศสตร์ ( สสวท.) กระทรวงสึกษาธิการ ได้กล่าวถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19ในประเทศไทย ปัจจุบันมองว่าไทยนั้นยังไม่ใช้ศักยภาพในการคัดกรองอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นจึงเสนอแนะการเพิ่มประสิทธิภาพเพื่อการคัดกรองแบบก้าวกระโดด ซึ่งยกตัวอย่างของประเทศเยอรมนีที่ทำสำเร็จมาแล้ว โดยการคัดกรอง 40,000 ตัวอย่างต่อวัน เป็น 200,000-400,000 ต่อวัน โดยมีคุณภาพทัดเทียมแบบเดิม
เนื่องจากประเทศไทยนั้นยังขาดวัคซีนในการผลิตและแจกจ่าย คนยังมีภูมิคุ้มกันไม่มากพอ ซึ่งประมาณการว่าการระบาดในไทยจะหยุดเมื่อคนมีภูมิคุ้มกันประมาณ 20-40 ล้านคน ปัญหาหลักอีกอย่างคือ รัฐบาลและประชาชนยังขาดความร่วมมือ อีกทั้งยังไม่รู้ว่าใครเป็นผู้ติดเชื้อ เนื่องจากผู้ที่ติดเชื้อที่แสดงอาการมีน้อยกว่า 10 % แต่ยังสามารถแพร่เชื้อได้ ทำให้ประมาณการณ์ได้ว่าไวรัสมรณะนี้อาจจะอยู่กับคนไทยไปอีกยาวนาน
ดังนั้นการเพิ่มประสิทธิภาพเพื่อการคัดกรอง จะเป็นตัวช่วยหนึ่งที่ทำให้เรารอด เนื่องจากสามารถแยกคนป่วยออกจากคนไม่ป่วยการติดเชื้อก็จะลดลง คนไทยอาจจะติดเชื้อ 30,000-300,000 คน แต่ในความเป็นจริงแล้วคนไทยอาจจะติดเชื้อถึง 1 ล้านคน ดังนั้นจำเป็นต้องเพิ่มประสิทธิภาพการคัดกรองอย่างน้อย 3 เท่า ซึ่งห้องปฏิบัติการของคนไทยนั้นตรวจได้เพียง 1 พันคนต่อวัน
ศาสตราจารย์ชูกิจ ได้เปรียบเทียบการตรวจโควิด-19 เหมือนการแก้ปัญหาหลักคณิตศาสตร์ในชีวิตประจำวัน สเหมือนการชั่งลูกเหล็ก 100 ลูก เพื่อหาน้ำหนัก ถ้าเราจับมาชั่งน้ำหนักทีละลูก 1 ลูกใช้เวลา 10 วินาที กว่าจะชั่งหมด ใช้เวลา 1 พันวินาที
แต่ถ้าเราแบ่งเป็นกลุ่มละ 10 ลูก จะใช้เวลาชั่ง 100 ลูกแค่เพียง 100 วินาที และถ้ากองไหนน้ำหนักแปลกไป ใช้ชั่งอีกครั้งแต่ละลูก ใช้เวลาอีก 100 วินาที รวมทั้งสิ้น 200 วินาที ซึ่งประสิทธิภาพแตกต่างกับวิธีแรกถึง 5 เท่า
ศาสตราจารย์ชูกิจยังระบุอีกว่าการที่จำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นเท่ากันทุกๆวันเป็นเพราะโรคหยุดระบาดหรือ เราตรวจได้จำกัดในแต่ละวัน และเราเองก็ไม่รู้ว่าผู้ป่วยเป็นใคร
ดังนั้นถ้าเราใช้วิธีการตรวจแบบชั่งลูกเหล็ก หาลูกเหล็กที่มีน้ำหนักแปลกแยก แทนที่จะตรวจทีละลูกซึ่งจะสิ้นเปลืองทรัพยากรและใช้เวลานาน โดยวิธีการคือหากมีกลุ่มเข้าข่ายติดเชื้อจำนวน 40 คน แยกออกเป็น 10 กลุ่ม แล้วเก็บสารคัดหลั่ง มาตรวจรวมกันในครั้งเดียว กลุ่มไหนมีผลเป็นบวกให้แยกออกมาเพื่อตรวจเดี่ยวอีกครั้ง สมมุติว่าใน 10 กลุ่ม มีผลเป็นบวก 2 กลุ่ม ก็แยก 2 กลุ่มที่มีผลเป็นบวกออกมา ตรวจแยกรายบุคคลอีกครั้ง เพื่อหาว่า ใน 2 กลุ่มนี้ใครคือผู้ติดเชื้อ เมื่อสิ้นสุดขั้นตอน จะใช้ชุดตรวจเพียงแค่ 18 ชุด จากเดิมที่ไล่ตรวจรายบุคคล 40 ชุด ซึ่งประหยัดทรัพยากรและเวลาได้มาก
ศาสตราจารย์ชูกิจยังยกตัวอย่างอีกว่าหากมีผู้เข้าข่ายติดเชื้อ 100 คน แล้วไล่ตรวจทีละคน ต้องใช้ชุดทดสอบ 100 ชุด 6 ชั่วโมงตรวจได้ 100 คน 12 ชั่วโมง ตรวจได้ 200 คน 1 พันคนใน 60 ชั่วโมง
แต่ถ้าเราตรวจแบบมีประสิทธิภาพโดยการจัดกลุ่ม 10 คน ต่อ 1 ชุดทดสอบ จากผู้ป่วย 1 พันคน สามารถจำแนกออกมาได้ 100 กลุ่ม จะสามารถย่อเวลา ใช้เพียง 12 ชั่วโมง ตรวจได้ 1 พันคน ประสิทธิภาพในการตรวจดีกว่าเดิม 5 เท่า
นอกจากนี้ศาสตราจารย์ชูกิจยังแนะนำว่าถ้าต้องการให้ตรวจมีประสิทธิภาพมากขึ้นไปอีก ควรเก็บเชื้อตัวอย่าง 2 ตัวอย่างต่อคน และประมาณ เปอร์เซ็นของการติดเชื้อ ต่อการตรวจให้ใกล้เคียงความจริงที่สุด เช่น
- ถ้ามี 1-2% จัดให้รวม 10 ตัวอย่างทดสอบ
- ถ้ามี 3-10 % จัดให้รวม 4 ตัวอย่างทดสอบ
ควรจัดให้มีห้องปฏิบัติการทดสอบนำร่อง เพื่อทำการทดลองหาเงื่อนไขที่ดีสุด โดยใช้หลักการรวมกลุ่มตัวอย่างเพิ่มความสามารถในการตรวจเพื่อช่วยคนไทยได้มากขึ้น
#CPร่วมจับมือสู้Covid
เกาะติดข่าวที่นี่
website: www.TNNThailand.com
facebook : TNNThailand
twitter : @TNNThailand
Line : @TNNThailand
Youtube Official : TNNThailand