วิริยะพร้อมมากประกันรถอีวี มั่นใจปี65ผลงานดีเบี้ยโตต่อ6%

ข่าววันนี้ วิริยะประกันภัย ปักธงเบี้ยรวมโต 6% ประกันรถยังเป็นเป้าหมายหลัก พุ่งโฟกัสที่รถอีวีรับโอกาสโตในอนาคต เผยเทรนด์ทีมงานกว่า 4 ปีในการศึกษาระบบไฟ อะไหล่ และการซ่อมของรถอีวี พร้อมเปิดฐานะการเงินสุดแกร่ง เพียงพอต่อการเคลมสินไหม “เจอจ่ายจบ” ด้วยสินทรัพย์รวม 77,500 ล้านบาท
นายอมร ทองธิว กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การดำเนินงานในรอบปีที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่าธุรกิจประกันวินาศภัยทั้งระบบต่างเจอโจทย์ที่ยากที่สุด เพราะต้องเผชิญกับอุบัติภัยใหม่อย่างโรคโควิด-19 ที่ยังคงดำเนินต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 2 ซึ่งเป็นผลให้ภาคธุรกิจมีการปรับตัวเพื่อรับกับการเปลี่ยนแปลงจากพฤติกรรมผู้บริโภค
ในปีที่ผ่านมา วิริยะประกันภัยยังคงเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับงานบริการ โดยเฉพาะในส่วนของการจ่ายสินไหม หรือเคลมที่ลูกค้าสามารถยืนเอกสารได้ทุกสาขา หรือศูนย์บริการของบริษัท ทำให้บริษัทสามารถก้าวผ่านความท้าทายต่างๆ ในช่วงที่ผ่านมาได้อย่างเข้มแข็งและมั่นคง ได้รับความไว้วางใจจากผู้เอาประกันภัยต่อเนื่อง สะท้อนจากตัวเลขผลงานในปี 2564 ด้วยมีเบี้ยรับรวม 38,800 ล้านบาท มีอัตราเติบโต 1.56% แยกเป็นเบี้ยประกันภัยรถยนต์ (Motor) 33,400 ล้านบาท และเบี้ยประกันภัยที่ไม่ใช่รถยนต์ (Non-Motor) 5,400 ล้านบาท และยังคงมีกำไรสุทธิประมาณ 500 ล้านบาท
เบี้ยรวมปีนี้โต6%
“ในปี 2565 เรายังคงเป้าหมายการเติบโตต่อเนื่อง ในส่วนของเบี้ยประกันภัยรถ โต6% จากปีก่อน และในส่วนของประกันที่ไม่ใช่รถยนต์ หรือนอนมอเตอร์ ตั้งเป้าโต 3% จากปีก่อน โดยเบี้ยรับรวม ในปี 2565 จะโต 6% เมื่อเทียบกับปี 2564 ที่มีเบี้ย 38,800 ล้านบาท”
นายอมร กล่าวต่อไปว่า ในปี 2565 แม้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิดมีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น แต่วิริยะประกันภัยได้มีการประเมินความเสี่ยงอยู่ตลอดเวลา และจากการประมาณการในสถานการณ์การระบาดที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ วิริยะประกันภัยก็มีสินทรัพย์สภาพคล่องและเงินกองทุน เพียงพอที่จะจ่ายค่าสินไหมทดแทนในกรมธรรม์ประกันภัยโควิดทุกฉบับ ที่บริษัทฯ ได้ให้ความคุ้มครองไว้
“ในปีที่ผ่านมา สิ่งที่ท้าทายมากที่สุดก็คือการบริหารจัดการการจ่ายสินไหมทดแทนประกันภัยโควิด เจอ จ่าย จบ เพราะมีผู้เอาประกันภัยแจ้งเคลมพร้อมกันเป็นจำนวนมากในช่วงเวลาที่ไล่เลี่ยกัน ทำให้งานฝ่ายเคลมกระจุกตัว เป็นสาเหตุให้บริษัทเร่งพัฒนาเทคโนโลยี เชื่อมโยงข้อมูลลูกค้า จนปัจจุบันสามารถแจ้งเคลมได้ที่ศูนย์ปฏิบัติการสินไหมของเราที่มีอยู่ทุกที่ทั่วไทย ส่งผลให้ภาวะกระจุกตัวในการทำเคลมได้ถูกกระจายไปยังแต่ละพื้นที่ทั่วประเทศ ทำให้ผู้เอาประกันได้รับเงินค่าสินไหมได้เร็ว”
ทั้งนี้ ณ สิ้นปี 2564 วิริยะประกันภัยมีสินทรัพย์รวม 77,500 ล้านบาท และมีอัตราส่วนสินทรัพย์สภาพคล่องสูงถึง 600.51% มีเงินกองทุนประมาณ 41,400 ล้านบาท ในขณะที่อัตราส่วนเงินกองทุนต่อเงินกองทุนที่ต้องดำรงตามกฎหมาย อยู่ในระดับสูงเกินกว่ามาตรฐานที่สำนักงานคปภ. กำหนดไว้ถึง (CAR Ratio) 170%
วิริยะโฟกัสรถยนต์EV
ทางด้านงานประกันภัยรถยนต์ นายสยม โรหิตเสถียร รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากนโยบายการสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้า หรือ อีวี (EV) ของภาครัฐ คาดว่า จำนวนผู้ใช้รถยนต์ EV จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง บริษัทได้เตรียมความพร้อมมาตั้งแต่ 4 ปีที่แล้ว ด้วยการส่งทีมงานฝ่ายรับประกันรถ EV เข้าไปศึกษาทั้งในส่วนของตัวอะไหล่ ตัวถังรถ ระบบไฟฟ้า ระบบการซ่อม ของรถอีวีทุกแบรนด์ เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการดูแล และให้บริการลูกค้ากลุ่มนี้ที่จะเพิ่มจำนวนมากขึ้นในอนาคต
แม้สัดส่วนการใช้รถ EV ของไทยในปัจจุบันยังน้อย โดยข้อมูลรถยนต์ EV จดทะเบียนเดือน กุมภาพันธ์ 2565 เฉพาะรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 ที่นั่ง มีจำนวน 5,400 คัน วิริยะได้รับประกันไว้ประมาณ 700 คัน (13%) อย่างไรก็ตามด้วยแนวโน้มความนิยมและกระแสการตอบรับรถยนต์ EV ของผู้ใช้คนไทยเริ่มเพิ่มจำนวนมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าหลายค่ายดังที่ทยอยเปิดตัวอีกนับสิบแบรนด์ บริษัทมั่นใจว่ามี ศักยภาพและความพร้อมในการรับงานประกันภัยรถยนต์EV
ประกันสุขภาพโต100%
ส่วนแผนงานด้านการประกันภัยที่ไม่ใช่รถยนต์หรือ Non-Motor นางฐวิกาญจน์ เตชทวีทรัพย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แม้บริษัทจะเจอภาวะวิกฤตโควิด-19ที่หนักหน่วงในช่วงปีที่ผ่านมา แต่ผลการดำเนินงานของ Non- Motor ในปี 2564 ยังคงเติบโตได้ถึง 12.17% ด้วยเบี้ยประกันภัย 5,400 ล้านบาท และบริษัทฯยังคงสามารถขยายอัตราส่วนประกันภัย Non-Motor เพิ่มเป็น 13.98% ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้
“เฉพาะประกันภัยสุขภาพในปี 2564 เรา ได้เติบโตขึ้น 102% ในส่วนของเบี้ยประกันภัย 851 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ทำให้ ส่วนแบ่งตลาด เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 5.7% ซึ่งเติบโตจากปี 2563 ที่มีอยู่ 3.3%”