เกิดอะไรขึ้น ? "แมคโดนัลด์" ยอดในสหรัฐฯ ต่ำสุดรอบ 5 ปี

เกิดอะไรขึ้นกับ "แมคโดนัลด์" McDonald's ?
เจ้าแห่งฟาสต์ฟู้ดสัญชาติอเมริกันยักษ์ใหญ่ของโลก
ที่ล่าสุดรายงานยอดขายลดลงทั่วโลก
แถมยังหดตัวหนักที่สุดในบ้านของตัวเอง ก็คือ สหรัฐอเมริกา
แมคโดนัลด์เป็นร้านโปรดของใครหลายคน และมีสาขากระจายอยู่ทั่วโลก
ทั้งรสชาติที่ถูกใจในระดับสากล และราคาที่เข้าถึงได้ง่าย
แต่ล่าสุดเกิดการเซอร์ไพรส์ตลาด เมื่อบริษัทได้รายงานยอดขายในไตรมาสแรกที่ผ่านมา
พบว่าปรับตัวลดลงสวนทางกับการคาดการณ์ก่อนหน้านี้
รวมไปถึงกำไรก็ต่ำกว่าที่คาดการณ์
แต่ที่น่าตกใจที่สุด ก็คือยอดขายในบ้านตัวเอง หรือยอดขายในสหรัฐอเมริกา
ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดของแมคโดนัลด์
กลับพบว่ามียอดขายที่ย่ำแย่ที่สุด นับตั้งเกิดโควิด-19 เมื่อ 5 ปีที่แล้ว
แมคโดนัลด์รายงานว่า ยอดขายจากสาขาเดิมในสหรัฐลดลง 3.6%
และยังลดลงไปมากกว่าที่คาดการณ์เอาไว้ว่าจะลดลง 1.7%
โดยแมคโดนัลด์ทำรายได้ไตรมาสแรกอยู่ที่ 5,960 ล้านดอลลาร์
น้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 6,120 ล้านดอลลาร์
ขณะที่กำไรต่อหุ้น (ESP) อยู่ที่ 2.67 ดอลลาร์ ลดลงเล็กน้อย
จากที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 2.68 ดอลลาร์
ขณะเดียวก็มีรายงานว่าราคาหุ้นลดลงเกือบ 2 % หลังการรายงานผลประกอบการที่ว่านี้
เกิดอะไรขึ้นกับเบอร์เกอร์เจ้าดังรายนี้ ?
ทำไมถึงขายได้น้อยลง ลูกค้าชาวอเมริกันหายไปไหนหมด ?
คำตอบ คือ "คนไม่อยากใช้จ่าย โดยเฉพาะคนรายได้น้อยถึงปานกลาง ที่เป็นกลุ่มลูกค้าหลักของทางร้าน "
เรื่องนี้อ้างอิงจากข้อมูลของ CNN ระบุว่า
ยอดขายของแมคโดนัลด์ที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง
ติดต่อกันถึงสองไตรมานี้ มาจากการที่
ลูกค้าลดการใช้จ่ายท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ
ผู้บริโภคอเมริกันกำลังรัดเข็มขัด ไม่กินข้าวนอกบ้านบ่อยเหมือนก่อน
โดยเฉพาะในยุคที่ค่าครองชีพยังสูงต่อเนื่อง
คริส เคมป์ซินสกี ประธานและซีอีโอของแมคโดนัลด์ ระบุในแถลงการณ์ว่า
"ผู้บริโภคในวันนี้กำลังอยู่ท่ามกลางความไม่แน่นอน"
คนเข้าร้านน้อยลง โดยกลุ่มคนที่มีรายได้สูงยังซื้อตามปกติ
แต่กับกลุ่มคนที่มีรายได้ปานกลางจนถึงรายได้น้อยกำลังลดค่าใช้จ่ายและกินข้าวนอกบ้านน้อยลง
ซึ่งตัวเลขการใช้จ่ายของกลุ่มนี้หายไปถึงสองหลักเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
นอกจากนี้ในการสนทนาทางโทรศัพท์กับนักวิเคราะห์ คริส เคมป์ซินสกี้ กล่าวว่า
ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ทำให้เกิดความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น
และส่งผลให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลงมากกว่าที่คาดไว้
เช่นเดียวกับอีกหลายบริษัทในกลุ่มร้านอาหาร เช่น Chipotle , Yum! Brands, Domino's Pizza และ Starbucks
ต่างพากันรายงานผลประกอบการที่ไม่ดีนักในระยะนี้ จากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดลงไป
ขณะที่รอยเตอร์ระบุว่า แมคโดนัลด์ ซึ่งเป็นเครือร้านฟาสต์ฟู้ดที่ใหญ่ที่สุดในโลก
กำลังเผชิญกับสภาวะตลาดที่ยากลำบากที่สุด
โดยก่อนหน้านี้มีคำเตือนจากร้านอาหารเจ้าใหญ่ๆในอเมริกาบอกว่า
ตอนนี้คนอเมริกันนั้นใช้จ่ายน้อยลงในการรับประทานอาหารนอกบ้าน
เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อและแนวโน้มเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ ส่งผลให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลง
ส่วนสำคัญส่วนหนึ่งมาจากนโยบายภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
มีผลต่อรายได้และรายจ่าย โดยภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบเต็มๆ
จากต้นทุนสินค้าที่สูงขึ้นและห่วงโซ่อุปทานก็ปั่นป่วน
ยืนยันได้จากข้อมูลของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุดแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจหดตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปีในไตรมาสแรก
ส่งผลให้โอกาสที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปี 2568 เพิ่มสูงขึ้น
สกาย คานาเวส นักวิเคราะห์ของ EMarketer กล่าวว่า
“ผู้บริโภคที่มีฐานะยากจนมีความเสี่ยงต่อผลกระทบของภาวะเงินเฟ้อมากที่สุด
และหนึ่งในพื้นที่แรกๆ ที่พวกเขาจะลดการใช้จ่ายคือการรับประทานอาหารนอกบ้าน”
เมื่อเกิดสถานการณ์เช่นนี้ แมคโดนัลด์ต้องหาทางแก้เกม
โดยปัจจุบันนี้ ทางร้านได้เพิ่มเมนูสุดคุ้ม เช่น ดีลมื้ออาหารราคา 5 ดอลลาร์ตลอดปี 2025
และพยายามปรับปรุงเมนู เน้นราคาประหยัดเพื่อมาเอาใจลูกค้าให้มากขึ้น
สร้างโปรโมชั่นใหม่ๆเข้ามาดึงความสนใจ
แม้กระทั่งการเอาเมนูเก่าๆที่เคยได้รับความนิยมกลับมาวางขายใหม่ด้วย
อย่างไรก็ตามแม้ภาพรวมยอดขายจะลดลง แต่ก็ยังพอมีข่าวดีจากบางภูมิภาค
โดยเฉพาะในกลุ่มตลาดที่ดำเนินการผ่านพันธมิตรท้องถิ่น
เช่น ตะวันออกกลางและญี่ปุ่น ซึ่งมียอดขายเพิ่มขึ้น 3.5 % จากปีที่แล้ว
โดยความต้องการในตะวันออกกลางเริ่มกลับมาหลังการคว่ำบาตรไม่เป็นทางการเมื่อปีก่อน
ที่เกิดจากกระแสไม่พอใจแบรนด์ตะวันตกในกรณีความขัดแย้งฉนวนกาซา
ซึ่งส่งผลต่อภาพลักษณ์ของแมคโดนัลด์อย่างหนักในภูมิภาค
ท่ามกลางข่าวที่บอกว่ายอดขายตก
แต่แมคโดนัลด์ก็สร้างความฮือฮา
ด้วยการออกมาประกาศการจ้างงานครั้งใหญ่ในรอบ 5 ปี
มากถึง 375,000 คน สำหรับซัมเมอร์นี้
CNN รายงานว่า แมคโดนัลด์กำลังพยายามจ้างพนักงานมากถึง 375,000 คน
ก่อนถึงฤดูร้อนอันแสนวุ่นวายนี้ ซึ่งถือเป็นโครงการจ้างงานที่ใหญ่ที่สุดของแมคโดนัลด์ในรอบ 5 ปี
การจ้างงานที่เพิ่มขึ้นนี้มุ่งเน้นไปที่การจ้างพนักงานในร้านอาหาร 13,000 แห่งในสหรัฐอเมริกา
ขณะที่บริษัทเตรียมเปิดสาขาใหม่ 900 แห่งในอีกสองปีข้างหน้า
แมคโดนัลด์ได้แถลงข่าวเรื่องนี้พร้อมกับรัฐมนตรีกระทรวงแรงงานของสหรัฐฯ
ทั้งนี้แมคโดนัลด์ถือเป็นหนึ่งในนายจ้างรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ
โดยบริษัทประมาณการว่าชาวอเมริกัน 1 ใน 8 คนเคยทำงานให้กับเครือนี้
มีพนักงานประมาณ 800,000 คนทำงานที่ร้านอาหารของแมคโดนัลด์ในสหรัฐอเมริกา
แม้ว่าแผนการจ้างงานนี้จะไม่ทำให้จำนวนพนักงานเพิ่มขึ้นก็ตาม
สาเหตุเป็นเพราะว่าคนลาออกเยอะ
ซึ่งเป็นสิ่งที่มักจะเกิดขึ้นเป็นปกติเช่นเดียวกับร้านอาหารจานด่วนอื่นๆ
แมคโดนัลด์ประสบปัญหา อัตราการลาออก 100%
และมักจะเปลี่ยนพนักงานที่ลาออกด้วยพนักงานใหม่เป็นประจำ
โดยปกติแล้ว McDonald's จะไม่ประกาศโปรแกรมรับสมัครพนักงานจำนวนมาก
เนื่องจากพนักงานส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับแฟรนไชส์
ขณะที่บริษัทอื่นๆ ก็มักมีการจ้างงานตามฤดูกาล เช่น Chipotle
มักจะจ้างพนักงานหลายพันคนในช่วงฤดูใบไม้ผลิก่อนถึงช่วงที่เรียกว่า "ฤดูกาลเบอร์ริโต"
และ UPS และ Amazon ก็จ้างงานพาร์ทไทม์ในช่วงวันหยุด
นายโจ เออร์ลิงเกอร์ ประธานบริษัทแมคโดนัลด์ สหรัฐฯ กล่าวว่า
การลงทุนในพนักงานของบริษัทถือเป็นการลงทุนที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์
โดยยังกล่าวอีกว่าการลงทุนดังกล่าวจะทำให้บริษัทสามารถ
“แข่งขันได้มากขึ้น ในขณะเดียวกันก็ส่งผลดีต่อสภาพเศรษฐกิจและสังคมของชุมชนที่เราทำธุรกิจด้วย”
การจ้างงาน 375,000 ตำแหน่งถือเป็นตัวเลขที่สูง
โดยเศรษฐกิจสหรัฐฯมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นเพียง 177,000 ตำแหน่งในเดือนเมษายน
อัตราการว่างงานอยู่ที่ 4.2% ซึ่งถือเป็นระดับต่ำสุดในประวัติศาสตร์
ย้ำอีกทีว่านี่คือตลาดของแมคโดนัลด์ในสหรัฐอเมริกา ที่กำลังเจอกับความท้าทายอย่างหนักตอนนี้
อยากให้นึกภาพตามกันดู เบอร์เกอร์ของแมคฯ ที่ราคาไม่ได้สูงมากนัก ดูเหมือนซื้อหาจับต้องได้ง่าย
แต่คนยังตัดใจซื้อกินน้อยลง เพราะกลัวเรื่องเศรษฐกิจ ภายใต้ผู้นำที่ชื่อทรัมป์ที่อะไรก็ยังไม่แน่นอน
โดยเฉพาะ"มาตรการภาษีศุลกากร" ที่แม้มีการพักรบหยุดชั่วคราวไปแล้วบ้าง แต่ก็แค่ชั่วคราว ปลายทางยังไม่รู้ว่าจะออกไปทิศไหน