รีเซต

เกิดอะไรขึ้น ? "แมคโดนัลด์" ยอดในสหรัฐฯ ต่ำสุดรอบ 5 ปี

เกิดอะไรขึ้น ?  "แมคโดนัลด์" ยอดในสหรัฐฯ ต่ำสุดรอบ 5 ปี
TNN ช่อง16
21 พฤษภาคม 2568 ( 08:00 )
8

เกิดอะไรขึ้นกับ "แมคโดนัลด์" McDonald's ?

เจ้าแห่งฟาสต์ฟู้ดสัญชาติอเมริกันยักษ์ใหญ่ของโลก 

ที่ล่าสุดรายงานยอดขายลดลงทั่วโลก 

แถมยังหดตัวหนักที่สุดในบ้านของตัวเอง ก็คือ สหรัฐอเมริกา


แมคโดนัลด์เป็นร้านโปรดของใครหลายคน และมีสาขากระจายอยู่ทั่วโลก

ทั้งรสชาติที่ถูกใจในระดับสากล และราคาที่เข้าถึงได้ง่าย 

แต่ล่าสุดเกิดการเซอร์ไพรส์ตลาด เมื่อบริษัทได้รายงานยอดขายในไตรมาสแรกที่ผ่านมา

พบว่าปรับตัวลดลงสวนทางกับการคาดการณ์ก่อนหน้านี้

รวมไปถึงกำไรก็ต่ำกว่าที่คาดการณ์

แต่ที่น่าตกใจที่สุด ก็คือยอดขายในบ้านตัวเอง หรือยอดขายในสหรัฐอเมริกา

ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดของแมคโดนัลด์

กลับพบว่ามียอดขายที่ย่ำแย่ที่สุด นับตั้งเกิดโควิด-19 เมื่อ 5 ปีที่แล้ว  

แมคโดนัลด์รายงานว่า ยอดขายจากสาขาเดิมในสหรัฐลดลง 3.6% 

และยังลดลงไปมากกว่าที่คาดการณ์เอาไว้ว่าจะลดลง 1.7% 


โดยแมคโดนัลด์ทำรายได้ไตรมาสแรกอยู่ที่ 5,960 ล้านดอลลาร์ 

น้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 6,120 ล้านดอลลาร์

ขณะที่กำไรต่อหุ้น (ESP) อยู่ที่ 2.67 ดอลลาร์ ลดลงเล็กน้อย

จากที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 2.68 ดอลลาร์ 

ขณะเดียวก็มีรายงานว่าราคาหุ้นลดลงเกือบ 2 % หลังการรายงานผลประกอบการที่ว่านี้ 



เกิดอะไรขึ้นกับเบอร์เกอร์เจ้าดังรายนี้ ? 

ทำไมถึงขายได้น้อยลง ลูกค้าชาวอเมริกันหายไปไหนหมด ?  

คำตอบ คือ "คนไม่อยากใช้จ่าย โดยเฉพาะคนรายได้น้อยถึงปานกลาง ที่เป็นกลุ่มลูกค้าหลักของทางร้าน "


เรื่องนี้อ้างอิงจากข้อมูลของ CNN ระบุว่า 

ยอดขายของแมคโดนัลด์ที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง

ติดต่อกันถึงสองไตรมานี้ มาจากการที่ 

ลูกค้าลดการใช้จ่ายท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ 

ผู้บริโภคอเมริกันกำลังรัดเข็มขัด ไม่กินข้าวนอกบ้านบ่อยเหมือนก่อน 

โดยเฉพาะในยุคที่ค่าครองชีพยังสูงต่อเนื่อง


คริส เคมป์ซินสกี ประธานและซีอีโอของแมคโดนัลด์ ระบุในแถลงการณ์ว่า

 "ผู้บริโภคในวันนี้กำลังอยู่ท่ามกลางความไม่แน่นอน" 

คนเข้าร้านน้อยลง โดยกลุ่มคนที่มีรายได้สูงยังซื้อตามปกติ 

แต่กับกลุ่มคนที่มีรายได้ปานกลางจนถึงรายได้น้อยกำลังลดค่าใช้จ่ายและกินข้าวนอกบ้านน้อยลง

ซึ่งตัวเลขการใช้จ่ายของกลุ่มนี้หายไปถึงสองหลักเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว 


นอกจากนี้ในการสนทนาทางโทรศัพท์กับนักวิเคราะห์ คริส เคมป์ซินสกี้ กล่าวว่า

ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ทำให้เกิดความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น

และส่งผลให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลงมากกว่าที่คาดไว้


เช่นเดียวกับอีกหลายบริษัทในกลุ่มร้านอาหาร เช่น Chipotle , Yum! Brands, Domino's Pizza และ Starbucks 

ต่างพากันรายงานผลประกอบการที่ไม่ดีนักในระยะนี้ จากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดลงไป


ขณะที่รอยเตอร์ระบุว่า แมคโดนัลด์ ซึ่งเป็นเครือร้านฟาสต์ฟู้ดที่ใหญ่ที่สุดในโลก

กำลังเผชิญกับสภาวะตลาดที่ยากลำบากที่สุด

โดยก่อนหน้านี้มีคำเตือนจากร้านอาหารเจ้าใหญ่ๆในอเมริกาบอกว่า

ตอนนี้คนอเมริกันนั้นใช้จ่ายน้อยลงในการรับประทานอาหารนอกบ้าน 

เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อและแนวโน้มเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ ส่งผลให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลง


ส่วนสำคัญส่วนหนึ่งมาจากนโยบายภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์

มีผลต่อรายได้และรายจ่าย โดยภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบเต็มๆ  

จากต้นทุนสินค้าที่สูงขึ้นและห่วงโซ่อุปทานก็ปั่นป่วน

ยืนยันได้จากข้อมูลของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุดแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจหดตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปีในไตรมาสแรก 

ส่งผลให้โอกาสที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปี 2568 เพิ่มสูงขึ้น

สกาย คานาเวส นักวิเคราะห์ของ EMarketer กล่าวว่า

“ผู้บริโภคที่มีฐานะยากจนมีความเสี่ยงต่อผลกระทบของภาวะเงินเฟ้อมากที่สุด 

และหนึ่งในพื้นที่แรกๆ ที่พวกเขาจะลดการใช้จ่ายคือการรับประทานอาหารนอกบ้าน” 


เมื่อเกิดสถานการณ์เช่นนี้ แมคโดนัลด์ต้องหาทางแก้เกม

โดยปัจจุบันนี้ ทางร้านได้เพิ่มเมนูสุดคุ้ม เช่น ดีลมื้ออาหารราคา 5 ดอลลาร์ตลอดปี 2025

และพยายามปรับปรุงเมนู เน้นราคาประหยัดเพื่อมาเอาใจลูกค้าให้มากขึ้น

สร้างโปรโมชั่นใหม่ๆเข้ามาดึงความสนใจ 

แม้กระทั่งการเอาเมนูเก่าๆที่เคยได้รับความนิยมกลับมาวางขายใหม่ด้วย 


อย่างไรก็ตามแม้ภาพรวมยอดขายจะลดลง แต่ก็ยังพอมีข่าวดีจากบางภูมิภาค 

โดยเฉพาะในกลุ่มตลาดที่ดำเนินการผ่านพันธมิตรท้องถิ่น 

เช่น ตะวันออกกลางและญี่ปุ่น ซึ่งมียอดขายเพิ่มขึ้น 3.5 % จากปีที่แล้ว 

โดยความต้องการในตะวันออกกลางเริ่มกลับมาหลังการคว่ำบาตรไม่เป็นทางการเมื่อปีก่อน 

ที่เกิดจากกระแสไม่พอใจแบรนด์ตะวันตกในกรณีความขัดแย้งฉนวนกาซา 

ซึ่งส่งผลต่อภาพลักษณ์ของแมคโดนัลด์อย่างหนักในภูมิภาค


ท่ามกลางข่าวที่บอกว่ายอดขายตก

แต่แมคโดนัลด์ก็สร้างความฮือฮา

ด้วยการออกมาประกาศการจ้างงานครั้งใหญ่ในรอบ 5 ปี 

มากถึง 375,000 คน สำหรับซัมเมอร์นี้



CNN รายงานว่า แมคโดนัลด์กำลังพยายามจ้างพนักงานมากถึง 375,000 คน

ก่อนถึงฤดูร้อนอันแสนวุ่นวายนี้ ซึ่งถือเป็นโครงการจ้างงานที่ใหญ่ที่สุดของแมคโดนัลด์ในรอบ 5 ปี


การจ้างงานที่เพิ่มขึ้นนี้มุ่งเน้นไปที่การจ้างพนักงานในร้านอาหาร 13,000 แห่งในสหรัฐอเมริกา 

ขณะที่บริษัทเตรียมเปิดสาขาใหม่ 900 แห่งในอีกสองปีข้างหน้า 

แมคโดนัลด์ได้แถลงข่าวเรื่องนี้พร้อมกับรัฐมนตรีกระทรวงแรงงานของสหรัฐฯ


ทั้งนี้แมคโดนัลด์ถือเป็นหนึ่งในนายจ้างรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ 

โดยบริษัทประมาณการว่าชาวอเมริกัน 1 ใน 8 คนเคยทำงานให้กับเครือนี้ 

มีพนักงานประมาณ 800,000 คนทำงานที่ร้านอาหารของแมคโดนัลด์ในสหรัฐอเมริกา 

แม้ว่าแผนการจ้างงานนี้จะไม่ทำให้จำนวนพนักงานเพิ่มขึ้นก็ตาม 

สาเหตุเป็นเพราะว่าคนลาออกเยอะ 

ซึ่งเป็นสิ่งที่มักจะเกิดขึ้นเป็นปกติเช่นเดียวกับร้านอาหารจานด่วนอื่นๆ 

แมคโดนัลด์ประสบปัญหา อัตราการลาออก 100% 

และมักจะเปลี่ยนพนักงานที่ลาออกด้วยพนักงานใหม่เป็นประจำ


โดยปกติแล้ว McDonald's จะไม่ประกาศโปรแกรมรับสมัครพนักงานจำนวนมาก 

เนื่องจากพนักงานส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับแฟรนไชส์ 

ขณะที่บริษัทอื่นๆ ก็มักมีการจ้างงานตามฤดูกาล เช่น Chipotle 

มักจะจ้างพนักงานหลายพันคนในช่วงฤดูใบไม้ผลิก่อนถึงช่วงที่เรียกว่า "ฤดูกาลเบอร์ริโต" 

และ UPS และ Amazon ก็จ้างงานพาร์ทไทม์ในช่วงวันหยุด


นายโจ เออร์ลิงเกอร์ ประธานบริษัทแมคโดนัลด์ สหรัฐฯ กล่าวว่า 

การลงทุนในพนักงานของบริษัทถือเป็นการลงทุนที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ 

โดยยังกล่าวอีกว่าการลงทุนดังกล่าวจะทำให้บริษัทสามารถ 

“แข่งขันได้มากขึ้น ในขณะเดียวกันก็ส่งผลดีต่อสภาพเศรษฐกิจและสังคมของชุมชนที่เราทำธุรกิจด้วย”


การจ้างงาน 375,000 ตำแหน่งถือเป็นตัวเลขที่สูง 

โดยเศรษฐกิจสหรัฐฯมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นเพียง 177,000 ตำแหน่งในเดือนเมษายน 

อัตราการว่างงานอยู่ที่ 4.2% ซึ่งถือเป็นระดับต่ำสุดในประวัติศาสตร์


ย้ำอีกทีว่านี่คือตลาดของแมคโดนัลด์ในสหรัฐอเมริกา ที่กำลังเจอกับความท้าทายอย่างหนักตอนนี้ 

อยากให้นึกภาพตามกันดู เบอร์เกอร์ของแมคฯ ที่ราคาไม่ได้สูงมากนัก ดูเหมือนซื้อหาจับต้องได้ง่าย 

แต่คนยังตัดใจซื้อกินน้อยลง เพราะกลัวเรื่องเศรษฐกิจ ภายใต้ผู้นำที่ชื่อทรัมป์ที่อะไรก็ยังไม่แน่นอน

โดยเฉพาะ"มาตรการภาษีศุลกากร" ที่แม้มีการพักรบหยุดชั่วคราวไปแล้วบ้าง แต่ก็แค่ชั่วคราว ปลายทางยังไม่รู้ว่าจะออกไปทิศไหน  


ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง