“การทูตเชิงปฏิบัตินิยม” บททดสอบใหญ่ของ "อี แจ-มยอง" บนเวทีเอเปค

◾️◾️◾️
🔴 ช่วงเวลาสำคัญของเกาหลีใต้ เวทีเดิมพันสูง
การประชุมสุดยอดครั้งนี้จะเป็นช่วงเวลาสำคัญของเกาหลีใต้ เนื่องจากจะมีเหตุการณ์สำคัญต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย เช่น การประชุมสุดยอดระหว่างสหรัฐฯ-จีนที่ทุกคนรอคอย และแม้แต่การประชุมระหว่างสหรัฐฯ-เกาหลีเหนือที่อาจเกิดขึ้น
อี แจ-มยอง ก็กำลังเตรียมความพร้อมสำหรับการประชุมทวิภาคีที่สำคัญหลายรายการ ซึ่งรวมถึงการประชุมสุดยอดระหว่างเกาหลีใต้และสหรัฐฯ และการเจรจาด้านภาษีศุลกากรกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการพบปะกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีน ซึ่งจะเดินทางเยือนเกาหลีใต้เป็นครั้งแรกในรอบ 11 ปี เพื่อบริหารจัดการความร่วมมือในประเด็นนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ
นอกจากนี้ อียังต้องเผชิญกับภารกิจสำคัญในการรักษาความสัมพันธ์อันดีกับญี่ปุ่น ผ่านการพบปะครั้งแรกกับซานาเอะ ทาคาอิจิ นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของญี่ปุ่น
◾️◾️◾️
🔴 ความท้าทายของภาวะความเป็นผู้นำ
ผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเตือนว่า อี แจ-มยองกำลังเผชิญ “กับดักทางการทูต” ที่ยากที่สุดในรอบหลายปี
ศาสตราจารย์ คิม ฮึง-กยู ผู้อำนวยการสถาบันนโยบายสหรัฐฯ-จีนแห่งมหาวิทยาลัยอาจู กล่าวว่าการดำเนินนโยบายที่เรียกว่า “ปฏิบัตินิยม” ยิ่งทำได้ยากขึ้นเรื่อย ๆ ท่ามกลางความตึงเครียดระหว่างสองมหาอำนาจ โดยสิ่งแรกที่เกาหลีใต้ต้องทำคือคลี่คลายความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนกับสหรัฐฯ ซึ่งติดค้างอยู่ในปัญหาภาษีศุลกากร เพราะหากการเจรจาในประเด็นนี้ไม่คืบหน้า ก็ยากที่จะขยับไปสู่การกระชับความร่วมมือกับจีนได้
คิมระบุด้วยว่า การเยือนเกาหลีใต้ของทรัมป์มีเป้าหมายหลักสองประการ คือ เพื่อสร้างแรงส่งก่อนการพบสี จิ้นผิง และเพื่อเรียกร้อง “สัมปทานทางการค้าเพิ่มเติม” จากเกาหลีใต้
เขาเสริมว่า เกาหลีใต้ไม่สามารถตัดสินใจแบบเร่งรีบได้ในสถานการณ์แบบนี้ เพราะทุกก้าวที่ขยับมีความเสี่ยงสูง และหากแสดงท่าทีเอนเอียงไปทางใดมากเกินไป หรือนโยบายใด ๆ ของเกาหลีใต้ที่ถูกมองว่าเอื้อประโยชน์ให้ฝ่ายหนึ่ง ก็อาจถูกอีกฝ่ายมองว่าเป็นศัตรู
ด้านดร. ชา ดู-ฮย็อง รองประธานสถาบันนโยบายการต่างประเทศอาซาน แสดงความเห็นว่า แม้เวทีเอเปคจะเป็นพื้นที่สำคัญสำหรับการเจรจาระหว่างผู้นำ แต่โอกาสในการบรรลุผลลัพธ์เชิงรูปธรรมยังค่อนข้างน้อย ไม่ใช่เพราะเกาหลีใต้ขาดศักยภาพทางการทูต แต่เพราะโลกทุกวันนี้เต็มไปด้วยความหวาดระแวง ประเทศต่าง ๆ แข่งขันกันแสดงอำนาจมากกว่าจะหาทางประนีประนอม โลกในขณะนี้กำลังถูกขับเคลื่อนด้วยความต้องการครอบงำมากกว่าความปรารถนาจะสมานฉันท์
อย่างไรก็ตาม ชามองว่ายังมีพื้นที่สำหรับความคืบหน้าขนาดเล็ก เช่น ข้อตกลงทวิภาคีเฉพาะประเด็น ขณะที่สหรัฐฯ จีน และผู้มีส่วนร่วมอื่น ๆ ต้องการรักษาหน้าไว้ พวกเขาไม่ได้เข้าร่วมการต่อสู้ และสิ่งนี้จะไม่เป็นจุดเปลี่ยน พร้อมตั้งข้อสังเกตว่าแม้จะมีการเรียกร้องให้มีการทูตเชิงปฏิบัตินิยม แต่ความไม่แน่นอนที่รายล้อมภูมิรัฐศาสตร์ระดับโลกยังคงลึกซึ้งเช่นเคย
◾️◾️◾️
🔴 เกาหลีใต้ควรใช้บทบาท “ผู้ประสานงาน”
ศาสตราจารย์ คัง จุน-ยอง ผู้เชี่ยวชาญด้านจีนจาก Hankuk University of Foreign Studies ให้ความเห็นว่า เกาหลีใต้ควรใช้จุดยืนของตนในฐานะ “มหาอำนาจระดับกลาง” ให้เกิดประโยชน์สูงสุด แม้ขอบเขตอิทธิพลของเกาหลีใต้จะจำกัด แต่เกาหลีใต้สามารถใช้บทบาทของตนเองเป็นผู้ประสานระหว่างสหรัฐฯ กับจีนได้ และแสวงหาผลประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมผ่านการทูตที่สมดุล
เขาเสริมว่า ในการประชุมครั้งนี้ เมื่อโดนัลด์ ทรัมป์และสี จิ้นผิงเตรียมพบกัน การประชุมสุดยอดครั้งนี้ ย่อมต้องวนเวียนอยู่กับเรื่องของสหรัฐฯ และจีนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากเกาหลีใต้สามารถช่วยให้สองฝ่ายลดความตึงเครียดระหว่างกระบวนการร่างปฏิญญาเอเปคได้ นั่นก็ถือเป็นความสำเร็จเชิงการทูตที่มีนัยสำคัญแล้ว แม้ผลลัพธ์อาจไม่ยิ่งใหญ่ แต่ความล้มเหลวไม่ควรถูกตีความจากการขาดผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่เพียงอย่างเดียว
เอเปคเป็นเวทีประจำปี จีนซึ่งจะเป็นเจ้าภาพการประชุมเอเปคในปีหน้า ย่อมไม่ต้องการเห็นการประชุมปีนี้ล้มเหลว ขณะที่สหรัฐฯ ก็มีแรงจูงใจทางเศรษฐกิจที่จะไม่ให้ความขัดแย้งบานปลาย หากเกาหลีใต้สามารถแสดงให้เห็นว่าทั้งสองประเทศบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีความรับผิดชอบ เพียงเท่านี้ก็ถือเป็นชัยชนะแล้ว
หากเกาหลีใต้สามารถแสดงให้เห็นว่าสองมหาอำนาจกำลังบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างมีความรับผิดชอบ นั่นก็ถือเป็นความสำเร็จในตัวมันเอง และเมื่อเอเปคสื่อสารถึงเสถียรภาพและความร่วมมือได้ ก็จะบรรลุวัตถุประสงค์แล้ว
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
