ลุ้นจบชัตดาวน์ “ทรัมป์” แจกเงินรีดจากภาษี

วุฒิสภาสหรัฐฯ ผ่านร่างกฎหมายจัดสรรงบประมาณให้รัฐบาลกลางชั่วคราวเมื่อคืนวันจันทร์ตามเวลาท้องถิ่น ปูทางสู่การยุติภาวะชัตดาวน์ หรือการปิดทำการของหน่วยงานรัฐบาลกลาง ซึ่งทำสถิติยาวนานสุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ อยู่ที่ 41 วัน นับตั้งแต่ 1 ตุลาคม ถึงวันที่ 11 พฤศจิกายน ทำลายสถิติการชัตดาวน์ครั้งก่อนที่นาน 35 วัน ในยุคที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ดำรงตำแหน่งสมัยแรก และประเมินว่าชัตดาวน์ครั้งล่าสุดส่งผลให้เจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางประมาณ 1.4 ล้านคนต้องพักงานหรือทำงานโดยยังไม่ได้รับค่าตอบแทน
ร่างกฎหมายดังกล่าวผ่านการอนุมัติด้วยคะแนนเสียง 60 ต่อ 40 หลังได้รับการสนับสนุนจากวุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกันเกือบทั้งหมด ร่วมกับวุฒิสมาชิกจากพรรคเดโมแครต 8 คนที่โหวตสวนจุดยืนพรรค แม้ว่าพรรครีพับลิกันจะมีเสียงส่วนใหญ่ในวุฒิสภา แต่ยังไม่ถึงเกณฑ์ 60 เสียงที่จะผ่านร่างกฎหมายได้ จึงต้องเจรจาให้ได้เสียงโหวตจากพรรคเดโมแครต ขณะนี้ร่างกฎหมายงบประมาณได้ถูกส่งไปยังสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาอนุมัติ หากผ่านการอนุมัติจากทั้ง 2 สภาแล้ว จากนั้นจะส่งไปถึงประธานาธิบดีทรัมป์เพื่อลงนามเป็นกฎหมาย
การโหวตหนุนของวุฒิสมาชิก 8 คนจากพรรคเดโมแครตแลกกับข้อตกลงกับพรรครีพับลิกันที่จะจัดลงมติเกี่ยวกับการขยายเวลากฎหมายว่าด้วยการดูแลสุขภาพในราคาที่จ่ายได้ (Affordable Care Act-ACA) หรือที่เรียกกันว่า “โอบามาแคร์” ก่อนที่จะหมดอายุสิ้นเดือนธันวาคม ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านประกันสุขภาพส่วนบุคคลสำหรับชาวอเมริกันกว่า 24 ล้านคน แม้ว่าสมาชิกพรรคเดโมแครตบางส่วนจะไม่เห็นด้วยในการผ่านร่างกฎหมายทั้งที่ไม่มีหลักประกันใด ๆ เกี่ยวกับมาตรการอุดหนุนด้านสุขภาพ แต่ฝ่ายสนับสนุนมองว่าการยุติภาวะชัตดาวน์เป็นความจำเป็นเร่งด่วน และการรับปากจากฝั่งรีพับลิกันที่จะจัดโหวตมาตรการดูแลสุขภาพแยกออกมาจากการพ่วงไว้ในร่างงบประมาณก็เป็นความคืบหน้าเดียวบนโต๊ะเจรจา
ภายใต้ข้อตกลงประนีประนอมระหว่าง 2 พรรค ยังเห็นพ้องจัดสรรงบประมาณระยะ 1 ปีให้กับกระทรวงกิจการทหารผ่านศึก กระทรวงเกษตรและสภาคองเกรส รวมถึงจัดสรรงบประมาณให้หน่วยงานอื่น ๆ ไปจนถึงวันที่ 30 มกราคม ปี 2569 และการจัดสรรงบประมาณสำหรับโครงการช่วยเหลือด้านอาหาร (SNAP) สำหรับชาวอเมริกันกว่า 42 ล้านคนไปจนถึงกันยายนปีหน้า ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยหลีกเลี่ยงภาวะอัมพาตสำหรับหน่วยงานต่าง ๆ และการปลดคนครั้งใหญ่ในหน่วยงานรัฐบาลกลางชั่วคราว ทั้งยังเป็นการการันตีว่าเจ้าหน้าที่รัฐจะได้รับค่าตอบแทนในระหว่างการชัตดาวน์ แต่หากถึงเดือนมกราคมแล้วทั้ง 2 พรรคยังตกลงกันไม่ได้ก็มีโอกาสจะกลับมาเผชิญภาวะชัตดาวน์อีกครั้ง
น่าสังเกตว่า ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ภาวะชัตดาวน์กินเวลายาวนานขึ้น จากที่เคยนานเพียงไม่กี่วันกลายเป็นนานข้ามเดือน ข้อมูลจากหน่วยงานวิจัยของสภาคองเกรส (Congressional Research Service) ระบุว่า เมื่อเทียบตั้งแต่ทศวรรษ 1980 จนถึงปัจจุบัน ภาวะชัตดาวน์เกิดขึ้นบ่อยครั้งสุดในยุคของอดีตประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน มีจำนวน 8 ครั้ง ระหว่างปี 2524-2530 ซึ่งกินเวลานานเพียง 1-3 วัน ส่วนยุคของอดีตประธานาธิบดีจอร์จ เอช. ดับเบิลยู. บุช เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในปี 2533 ด้านอดีตประธานาธิบดีบิล คลินตัน เกิดขึ้น 2 ครั้ง ครั้งหลังเกิดขึ้นในปี 2538 กินเวลานาน 21 วัน ในยุคอดีตประธานาธิบดีบารัก โอบามา ก็เกิดขึ้น 1 ครั้ง กินเวลานาน 6 วัน
ส่วนภาวะชัตดาวน์ในระหว่างการดำรงตำแหน่งวาระแรกของประธานาธิบดีทรัมป์ เกิดขึ้น 3 ครั้ง ครั้งที่ยาวนานสุดกินเวลา 35 วัน ระหว่างเดือนธันวาคม ปี 2561-มกราคม ปี 2562 แต่หากรวมชัตดาวน์ครั้งล่าสุดในการดำรงตำแหน่งวาระ 2 ก็เป็นครั้งที่ 4 ซึ่งหนนี้กินเวลานานกว่า 41 วัน ทำสถิติชัตดาวน์นานที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ
การชัตดาวน์ครั้งล่าสุดนี้ไม่เพียงแต่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่ยังน่าจะสร้างความเสียหายมากที่สุดอีกด้วย เนื่องจากส่งผลกระทบต่องบประมาณของรัฐบาลทั้งหมด และเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ เปราะบางอยู่แล้ว แตกต่างจากอดีตที่ความเสียหายเกิดขึ้นไม่นาน และกลับคืนสู่ภาวะปกติได้รวดเร็วหลังหน่วยงานเปิดทำการตามปกติ หรือแม้แต่การชัตดาวน์ครั้งก่อนที่ยาวนาน 35 วัน ก็ส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายของรัฐบาลกลางเพียงร้อยละ 10 เป็นการปิดทำการบางส่วน ซึ่งก็ทำให้เศรษฐกิจเสียหายราว 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์ ส่วนใหญ่มาจากการลดใช้จ่ายของเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลาง
“โกลด์แมน แซคส์” ประเมินว่า การปิดทำการของรัฐบาลกลางครั้งล่าสุดน่าจะส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจมากที่สุดเมื่อเทียบกับครั้งก่อน ๆ จากผลกระทบที่กว้างกว่าและยาวนานกว่า ถึงแม้มีโอกาสที่จะยุติภาวะชัตดาวน์ได้ในสัปดาห์นี้ แต่การขยายตัวของ GDP ไตรมาส 4 ปีนี้ ซึ่งไม่ได้พิจารณาถึงเงินเฟ้อ มีแนวโน้มชะลอตัวอยู่ที่ร้อยละ 1.15 จากที่ขยายตัวร้อยละ 3-4 ในไตรมาส 3 แต่พอถึงไตรมาส 1 ปี 2569 GDP น่าจะขยายตัวที่ร้อยละ 3.1 จากการกลับมาทำงานตามปกติของเจ้าหน้าที่รัฐและการใช้จ่ายที่ฟื้นตัว
ส่วนสำนักงบประมาณแห่งสภาคองเกรส (CBO) ประเมินว่า การชัตดาวน์ครั้งล่าสุดจะส่งผลให้การเติบโตของ GDP สหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 2 และความเสียหายที่ไม่อาจกู้คืนได้อยู่ที่ระหว่าง 7 พันล้านดอลลาร์ ถึง 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์ แต่ผลกระทบเหล่านี้จะรุนแรงขึ้นเมื่อการชัตดาวน์ยืดเยื้อออกไป
หนึ่งในภาคส่วนที่เผชิญผลกระทบจากภาวะชัตดาวน์รุนแรงสุด คือ อุตสาหกรรมการบินที่เผชิญความล่าช้าและต้องยกเลิกเที่ยวบินจำนวนมากในแต่ละวัน ข้อมูลจากสำนักงานบริหารการบินแห่งสหรัฐฯ (FAA) ระบุว่า การขาดแคลนบุคลากรที่ต้องพักงานในช่วงชัตดาวน์ส่งผลกระทบต่อหอควบคุมจราจรทางอากาศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 42 แห่ง รวมถึงทำให้เกิดความล่าช้าของเที่ยวบินในเมืองใหญ่อย่างน้อย 12 แห่ง รวมถึงแอตแลนตา นวร์ก ซานฟรานซิสโก นิวยอร์ก และชิคาโก
ด้าน “ไฟลต์อะแวร์” (FlightAware) ที่ติดตามด้านการบินในสหรัฐฯ พบว่า มีการยกเลิกเที่ยวบินเกือบ 3,000 เที่ยวในวันอาทิตย์ที่ 9 พฤศจิกายน สอดคล้องกับบริษัทวิเคราะห์ด้านการบิน “ซีเรียม” (Cirium) ระบุว่า ในช่วงเช้าของวันจันทร์ที่ 10 พฤศจิกายน มีเที่ยวบินถูกยกเลิกมากกว่า 1,400 เที่ยว จากทั้งหมดกว่า 25,000 เที่ยวบิน หลังจากเมื่อวันอาทิตย์มีเที่ยวบินถูกยกเลิกมากกว่า 2,600 เที่ยว ซึ่งคิดเป็นประมาณร้อยละ 10 ของเที่ยวบินทั้งหมด แต่ยังไม่ชัดเจนว่ามีเที่ยวบินที่ถูกยกเลิกจากภาวะชัตดาวน์เท่าใด และมีกี่เที่ยวบินที่ยกเลิกด้วยเหตุผลอื่น ๆ เช่น สภาพอากาศ
FAA มีคำสั่งให้สายการบินต่าง ๆ ปรับลดเที่ยวบินรายวันลงร้อยละ 4 เริ่มตั้งแต่วันศุกร์ที่ผ่านมา ครอบคลุมสนามบินหลัก 40 แห่ง เนื่องจากความกังวลด้านความปลอดภัยในการควบคุมการจราจรทางอากาศ จากนั้นจะปรับลดเที่ยวบินลงร้อยละ 6 ในวันอังคารตามเวลาท้องถิ่น และขยับเป็นร้อยละ 10 ภายในวันที่ 14 พฤศจิกายน
อุตสาหกรรมการบินของสหรัฐฯ เผชิญความปั่นป่วนเนื่องจากขาดแคลนเจ้าหน้าที่ควบคุมการจราจรทางอากาศและเจ้าหน้าที่ด้านความปลอดภัยทางอากาศ เนื่องจากบางส่วนต้องหยุดทำงานและบางส่วนทำงานโดยไม่ได้รับค่าตอบแทน ขณะที่ “ฌอน ดัฟฟี” รัฐมนตรีคมนาคมประเมินว่า หากไม่สามารถยุติภาวะชัตดาวน์ได้ สถานการณ์น่าจะเลวร้ายลงอีก เพราะใกล้จะถึงเทศกาลขอบคุณพระเจ้า (Thanksgiving Day) ในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้า ซึ่งผู้คนจำนวนมากจะไม่สามารถเดินทางด้วยเครื่องบินได้
นอกจากนี้ การปิดทำการของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ อาจส่งผลให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น เนื่องจากทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเป็นไปอย่างล่าช้า และต้องเลื่อนการตัดสินใจทางการคลังออกไป ขณะที่การระงับโครงการของรัฐบาลกลางและการกลับมาเริ่มต้นโครงการใหม่อีกครั้งก็อาจเพิ่มต้นทุนได้เช่นกัน กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ประเมินว่า หนี้สาธารณะแตะระดับ 38 ล้านล้านดอลลาร์ เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา
มูลนิธิ Peter G. Peterson Foundation ซึ่งเป็นองค์กรที่ติดตามด้านนโยบายการคลัง ระบุว่า หนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ที่พุ่งทะลุ 38 ล้านล้านดอลลาร์ ในช่วงที่รัฐบาลอยู่ในภาวะชัตดาวน์ ถือเป็นสัญญาณที่น่ากังวลเกี่ยวกับการเพิ่มหนี้ในระดับที่รวดเร็วกว่าในอดีต ทั้งนี้ หนี้สาธารณะของสหรัฐฯ เพิ่งผ่านหลัก 37 ล้านลานดอลลาร์ เมื่อเดือนสิงหาคม และอัตราการเติบโตของหนี้ในปัจจุบันก็เร็วกว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจตั้งแต่ปี 2000 ถึง 2 เท่า
ขณะที่ผลสำรวจของมูลนิธิที่จัดทำในเดือนกันยายน พบว่า ผู้มีสิทธิเลือกตั้งร้อยละ 81 มองปัญหาหนี้สาธารณะเป็นประเด็นที่น่ากังวล และหนี้สินที่เพิ่มขึ้นรวดเร็วก็จะนำไปสู่ภาระดอกเบี้ยมหาศาลสำหรับรัฐบาลสหรัฐฯ ประเมินว่าภาระการจ่ายดอกเบี้ยของสหรัฐฯ จะเพิ่มขึ้นจาก 4 ล้านล้านดอลลาร์ ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เป็น 14 ล้านล้านดอลลาร์ในอีก 10 ปีข้างหน้า ซึ่งจะกระทบต่อการใช้จ่ายของภาครัฐและภาคเอกชนในภาคเศรษฐกิจสำคัญ ๆ
ล่าสุด ประธานาธิบดีทรัมป์ มีแนวคิดจะจ่ายเงินปันผลอย่างน้อย 2,000 ดอลลาร์ ให้แก่ชาวอเมริกันส่วนใหญ่ ไม่นับรวมคนรวย โดยเงินที่แจกจ่ายนี้จะมาจากรายได้ภาษีนำเข้าที่เก็บจากประเทศต่าง ๆ ซึ่งกระทรวงการคลังประเมินไว้ในเดือนกันยายนว่า รัฐบาลสหรัฐฯ จะจัดเก็บภาษีศุลกากรได้ 1.95 แสนล้านดอลลาร์ ในปีงบประมาณ 2568
แต่ขณะนี้มาตรการกำแพงภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลสูงสุด ซึ่งการใช้ภาษีตอบโต้ (reciprocal tariff) ภายใต้กฎหมายฉุกเฉินทางเศรษฐกิจ (International Emergency Economic Powers Act-IEEPA) อาจเข้าข่ายการใช้อำนาจเกินขอบเขต เนื่องจากการภาษีศุลกากรถือเป็นอำนาจของสภาคองเกรส
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
