Soft Power ตัวประกันจีน-ญี่ปุ่นตึงเครียด

ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับญี่ปุ่นกำลังเผชิญความตึงเครียดครั้งใหม่ หลังจากนายกรัฐมนตรีซานาเอะ ทาคาอิจิ ผู้นำคนใหม่ของญี่ปุ่นกล่าวตอบคำถามต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายนว่า หากจีนโจมตีไต้หวันจะถือเป็นสถานการณ์ที่คุกคามความอยู่รอดของญี่ปุ่น และอาจนำไปสู่การตอบโต้ทางทหารจากญี่ปุ่น ซึ่งความเห็นดังกล่าวสร้างความไม่พอใจให้กับรัฐบาลจีนอย่างมาก นำไปสู่การตอบโต้เพื่อตอกย้ำว่าไต้หวันเป็นดินแดนของจีน และเป็นประเด็นที่จีนไม่อาจยอมได้
นอกเหนือจากการตอบโต้ทางการทูตระหว่างกัน รัฐบาลจีนได้ออกประกาศเตือนพลเมืองให้หลีกเลี่ยงการเดินทางเยือนญี่ปุ่น โดยสายการบินจีนต่าง ๆ ทั้งแอร์ไชน่า, ไชน่า อีสเทิร์น และไชน่า เซาเทิร์น ได้เผยแพร่ประกาศบนเว็บไซต์สำหรับการคืนเงินเต็มจำนวนหรือเปลี่ยนแปลงตั๋วโดยสารบางประเภทที่เดินทางไปญี่ปุ่นโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย “เซาท์ไชนา มอร์นิง โพสต์” ระบุว่า ชาวจีนยกเลิกตั๋วเครื่องบินไปญี่ปุ่นเกือบ 500,000 ใบในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา คิดเป็นร้อยละ 32 ของการเดินทางทั้งหมดที่จองไว้สำหรับเส้นทางบินไปญี่ปุ่น นับเป็นการหยุดชะงักด้านการเดินทางทางอากาศระหว่าง 2 ประเทศครั้งรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่วิกฤตโควิด
คำสั่งงดเดินทางของจีนส่งผลกระทบโดยตรงต่อการท่องเที่ยวญี่ปุ่น ซึ่งเป็นด่านแรกในการเผชิญแรงกระแทกจากความขัดแย้ง ขณะที่ราคาหุ้นของบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องก็ร่วงลงอย่างพร้อมเพรียง ทั้งสายการบิน ภาคค้าปลีก บริษัทเครื่องสำอาง แบรนด์เสื้อผ้า ข้อมูลจากองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งญี่ปุ่น (Japan National Tourism Organization-JNTO) ระบุว่า ในระหว่างเดือนมกราคม-กันยายนปีนี้ มีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเยือนญี่ปุ่นเกือบ 7.49 ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 42.7 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว นับเป็นสถิติสูงสุดเมื่อเทียบกับประเทศหรือภูมิภาคต่าง ๆ และคิดเป็นสัดส่วนราว 1 ใน 4 ของจำนวนชาวต่างชาติที่เดินทางเยือนญี่ปุ่นทั้งหมดราว 31.65 ล้านคนในช่วงเดียวกัน สำหรับนักท่องเที่ยวเกาหลีใต้ทำสถิติตามมาในอันดับ 2 จำนวน 6.79 ล้านคน ต่อด้วยไต้หวัน สหรัฐฯ รวมถึงฮ่องกงในอันดับ 5 ซึ่งฮ่องกงเพิ่งออกคำเตือนพลเมืองที่จะเดินทางไปญี่ปุ่นหรืออยู่ในญี่ปุ่นให้ระมัดระวังสถานการณ์ ขณะที่นักท่องเที่ยวไทยเดินทางเยือนญี่ปุ่นอยู่ในอันดับ 6 ราว 815,800 คน
นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวชาวจีนยังใช้จ่ายมากสุดเมื่อเทียบรายประเทศหรือภูมิภาค ข้อมูลจากการท่องเที่ยวญี่ปุ่น (Japan Tourism Agency) พบว่า ในไตรมาสล่าสุดเดือนกรกฎาคม-กันยายน นักท่องเที่ยวชาวจีนที่เดินทางเยือนญี่ปุ่นใช้จ่ายคิดเป็นมูลค่าราว 5.9 แสนล้านเยน หรือประมาณ 3.8 พันล้านดอลลาร์
ขณะเดียวกัน รัฐบาลจีนก็เรียกร้องให้พลเมืองพิจารณาอย่างรอบคอบเกี่ยวกับการศึกษาต่อในญี่ปุ่น โดยอ้างถึงความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่อาจเกิดขึ้นท่ามกลางข้อพิพาทครั้งล่าสุด สำหรับผู้ที่กำลังศึกษาอยู่ในญี่ปุ่นก็ให้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและประเมินความปลอดภัยส่วนบุคคลให้มากขึ้น
ข้อมูลของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองญี่ปุ่น พบว่า นับถึงเดือนมิถุนายน ปี 2567 มีนักศึกษาต่างชาติในญี่ปุ่นประมาณ 370,000 คน ซึ่งส่วนใหญ่มาจากจีน มีจำนวน 134,239 คน คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 1 ใน 3 ของทั้งหมด ตามมาด้วยเนปาล 73,136 คน, เวียดนาม 43,760 คน, เมียนมา 17,917 คน, เกาหลีใต้ 14,610 คน, ศรีลังกา 13,409 คน และบังกลาเทศ 8,828 คน
มาตรการตอบโต้ของจีนเริ่มขยายวงไปถึงอุตสาหกรรมบันเทิง โดยล่าสุดภาพยนตร์ญี่ปุ่นอย่างน้อย 2 เรื่องถูกเลื่อนฉายในจีน ได้แก่ ภาพยนตร์มังงะ Cells at Work! หรือเซลล์ขยันพันธุ์เดือด และภาพยนตร์อานิเมะ Crayon Shin-chan the Movie: Super Hot! The Spicy Kasukabe Dancers หรือเครยอนชินจัง เดอะมูฟวี่ ตอน ร้อนแรงแซ่บเว่อร์! แดนซ์เซอร์แห่งคาซึคาเบะ เนื่องจากผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายประเมินภาพรวมและความรู้สึกของผู้ชมชาวจีนในช่วงเวลานี้
น่าสังเกตว่า ผลกระทบต่อทั้งการท่องเที่ยว การศึกษา และความบันเทิง สะท้อนว่าอุตสาหกรรมซอฟต์พาวเวอร์ (Soft Power) ของญี่ปุ่นกำลังกลายเป็นตัวประกันอันดับแรก ๆ ท่ามกลางความขัดแย้งครั้งล่าสุด โดยเฉพาะการท่องเที่ยวซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจ และอาจส่งผลเกี่ยวเนื่องไปยังอุตสาหกรรมต่าง ๆ อาทิ ค้าปลีก โรงแรม อสังหาริมทรัพย์
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ความขัดแย้งทางการเมืองส่งผลสะเทือนถึงเศรษฐกิจ เมื่อปี 2555 ทั้ง 2 ฝ่ายก็เคยเผชิญความตึงเครียดจากความขัดแย้งเรื่องหมู่เกาะพิพาท “เตียวหยู” หรือ “เซนกากุ” ซึ่งนำไปสู่การคว่ำบาตรสินค้าญี่ปุ่นเป็นเวลานานหลายเดือน หรือกรณีปี 2566 ผู้บริโภคชาวจีนไม่พอใจกับการปล่อยน้ำเสียที่ผ่านการบำบัดจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะของญี่ปุ่น จึงคว่ำบาตรสินค้าต่าง ๆ ตั้งแต่เครื่องสำอางไปจนถึงสินค้าในครัวเรือน
สำหรับความขัดแย้งในครั้งนี้ นักเศรษฐศาสตร์ของสถาบันวิจัย “โนมูระ” ประเมินว่า คำสั่งเตือนการเดินทางของจีนอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นมากถึง 2.2 ล้านล้านเยน หรือประมาณ 1.42 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นร้อยละ 0.36 ของ GDP ญี่ปุ่น โดยการประเมินล่าสุดอ้างอิงจากกรณีที่คล้ายกันในความขัดแย้งเมื่อปี 2555 เมื่อจีนเรียกร้องให้พลเมืองหลีกเลี่ยงการเดินทางเยือนญี่ปุ่น ซึ่งส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนลดลงร้อยละ 25 จากปีก่อนหน้า และภายในเวลาเพียงไม่ถึง 3 เดือน ก็ทำให้การส่งออกจากญี่ปุ่นไปจีนลดลงมากกว่าร้อยละ 10
ข้อมูลจากกระทรวงการคลังญี่ปุ่น ระบุว่า ในปี 2555 ญี่ปุ่นส่งออกไปจีนคิดเป็นมูลค่ากว่า 12 ล้านล้านเยน ลดลงร้อยละ 10.4 จากปีก่อนหน้า หนึ่งในปัจจัยหลักมาจากข้อพิพาทเรื่องหมู่เกาะ ขณะที่หลังจากนั้นการส่งออกจากญี่ปุ่นไปยังจีนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
หากความขัดแย้งระหว่างจีนและญี่ปุ่นยังคงรุนแรงต่อไป ก็ต้องจับตาว่าจะนำไปสู่มาตรการคว่ำบาตรทางการค้าเต็มรูปแบบหรือไม่ “มาร์เซล ธีเลียนต์” นักเศรษฐศาสตร์จาก “แคปิตอล อีโคโนมิกส์” มองว่า หนึ่งในความเสี่ยงสำคัญที่สุดสำหรับญี่ปุ่น คือ การที่จีนจำกัดการส่งออกแร่หายาก หรือการจำกัดการนำเข้าสินค้าญี่ปุ่น และอุตสาหกรรมยานยนต์มีความเปราะบางที่สุดสำหรับสถานการณ์ดังกล่าว เนื่องจากค่ายรถญี่ปุ่นเผชิญแรงกดดันมหาศาลจากการเติบโตของผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าของจีนอยู่แล้วเป็นทุนเดิม
หากความขัดแย้งบานปลายออกไปก็เป็นราคาที่ต้องจ่ายแพงขึ้นสำหรับญี่ปุ่น ซึ่งเศรษฐกิจยังคงเปราะบาง โดยการขยายตัวของ GDP ในไตรมาส 3 เดือนกรกฎาคม-กันยายนปีนี้ หดตัวร้อยละ 1.8 เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว นับเป็นการหดตัวครั้งแรกในรอบ 6 ไตรมาส เนื่องจากเผชิญผลกระทบจากมาตรการกำแพงภาษีของสหรัฐฯ
โดยการส่งออกเป็นปัจจัยหลักที่ฉุดรั้งการขยายตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่นในปีนี้ ในไตรมาส 3 การส่งออกหดตัวร้อยละ 4.5 เมื่อเทียบรายปี เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการที่สหรัฐฯ เก็บภาษีนำเข้าอยู่ที่ร้อยละ 15 ทำให้กระทบต่อการส่งออก โดยเฉพาะการส่งออกรถยนต์ที่ชะลอตัวลง อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์มองว่าเป็นการชะลอตัวชั่วคราวมากกว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของภาวะเศรษฐกิจถดถอย (recession)
ส่วนการลงทุนด้านที่อยู่อาศัยก็กระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจเช่นกัน เนื่องจากกฎระเบียบด้านการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพที่เข้มงวดขึ้น ซึ่งเริ่มมีผลบังคับใช้ในเดือนเมษายน ขณะที่การบริโภคภาคเอกชน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนมากกว่าครึ่งหนึ่งของ GDP ญี่ปุ่น เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.1 แต่ชะลอตัวลงจากที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 ในไตรมาส 2 ซึ่งสะท้อนว่าต้นทุนอาหารที่สูงทำให้ภาคครัวเรือนลังเลในการใช้จ่าย
ทั้งนี้ การหดตัวของ GDP ในไตรมาส 3 อาจเพิ่มความซับซ้อนในการตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) และความขัดแย้งกับจีนก็เป็นอีกประเด็นที่ไม่อาจมองข้าม
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
