แม่ค้าเจอพิษโควิด หวัง กู้เงินออนไลน์ ใช้หนี้ สุดช้ำ ถูกหลอก-มีหนี้เพิ่ม
แม่ค้าสาว ในพื้นที่ จ.ราชบุรี เจอพิษโควิด หวัง กู้เงินออนไลน์ ใช้หนี้สารพัด สุดช้ำ ถูกมิจฉาชีพหลอกสูญเงิน เป็นหนี้เพิ่ม ด้าน บริษัทถูกสวมชื่อ แจ้งความแล้ว
วันที่ 10 พ.ค.2564 ผู้สื่อข่าวรายได้รับแจ้งว่า มีผู้เสียหายจำนวนมากถูกหลอกจากการกู้เงินออนไลน์ โดยกลุ่มมิจฉาชีพที่มาในรูปแบบสถาบันการเงินดังที่ใช้ช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่หลายต่อหลายครอบครัวกำลังประสบปัญหาด้านการเงิน และมีความจำเป็นต้องหยิบยืมจากแหล่งเงินทุนต่าง ๆ
จากการสอบถาม น.ส.เบญจพรรณ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 34 ปี อาชีพขายอาหารอีสาน ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้เสียหาย กล่าวว่า ตนเสียรู้มิจฉาชีพที่แฝงตัวมาในคราบบริษัทสินเชื่อ ปล่อยกู้เงินออนไลน์ สุดท้ายไม่ได้ทั้งเงินก้อน แถมยังต้องสูญเงินอีก 5,000 บาท ซึ่งเป็นเงินที่ตนต้องไปกู้มาอีกต่อเพื่อที่จะนำมาจ่ายให้กับสินเชื่อออนไลน์เพื่อหวังได้เงินก้อน 50,000 บาท ซึ่งเป็นจำนวนที่ไม่น้อยสำหรับครอบครัวของตนที่ต้องหาเช้ากินค่ำ
น.ส.เบญจพรรณ กล่าวต่อว่า เรื่องราวของตนเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 5 พ.ค.ที่ผ่านมา ตนได้รับสายจากหมายเลขโทรศัพท์ 02-030-3619 แจ้งว่าเป็นบริษัทสินเชื่อ ระบุว่าตนสามารถกู้เงินหมื่นได้โดยไม่ต้องมีคนค้ำ หรือหลักทรัพย์ค้ำประกัน จึงเกิดความสนใจและตกลงสมัคร จากนั้นบริษัทสินเชื่อได้ให้ตนแอดไลน์ฝ่ายสินเชื่อ เพื่อกรอกข้อมูลสมัครเปิดยูสเซอร์ เข้าสู่หน้าระบบจัดการกู้เงินในแอพพลิเคชันรูปลักษณะคล้ายแอพฯของธนาคารกรุงไทย
"จากนั้น ก็ได้รับทราบเงื่อนไขว่า หากต้องการกู้เงินจำนวนนี้ ต้องมีเงินค้ำประกัน 10 เปอร์เซ็นต์ ก็คือ 5,000 บาท หากได้รับการอนุมัติแล้ว จะได้รับทั้งเงินกู้และเงินประกันคืน เราจึงโอนเงินประกันจำนวน 5,000 บาท ไปยังบริษัทเงินกู้ออนไลน์แห่งนี้ ซึ่งเงิน 5,000 บาท ก็ได้ไปขอกู้เงินมาเพื่อหวังว่าได้เงินก้อน 50,000 บาท" น.ส.เบญจพรรณ กล่าว
น.ส.เบญจพรรณ กล่าวอีกว่า ต่อมามีข้อความแจ้งว่า เลขบัญชีที่ผู้เสียหายโอนไปนั้น เลขบัญชีผิดไป 1 ตัว ทำให้ทำรายการต่อไม่ได้ และต้องมีค่าดำเนินการอีก 20,000 บาท ซึ่งจะได้รับเงินคืนทั้งหมดเป็นเงิน 75,000 บาท แต่ขณะนั้นเธอมีเงินเพียง 5,000 บาท จึงโอนไปเพียงเท่านั้นก่อน ซึ่งฝ่ายสินเชื่อออนไลน์แจ้งว่า ตนต้องโอนเงิน 20,000 บาทไป ไม่งั้นจะผิดสัญญาและต้องจ่ายดอกเบี้ย หากไม่จ่ายจะแจ้งฝ่ายกฎหมายของบริษัทให้ดำเนินคดีกับตน
น.ส.เบญจพรรณ กล่าวว่า ซึ่งตนแจ้งกลับไปว่าไม่มีเงินแล้ว และขอเงิน 5,000 บาทคืน แต่เมื่อทวงถามความคืบหน้าจากบัญชีไลน์ดังกล่าว ก็ไม่สามารถติดต่อได้อีก ส่งข้อความทางไลน์ได้แต่ขึ้นสถานะอ่าน แต่ไม่ตอบกลับ ซึ่งเหตุการณ์นี้ตนต้องสูญเงินไปทั้งสิ้น 5,000 บาท จากการโอนไปเพื่อหวังกู้เงินก้อนมาบรรเทาความเดือดร้อน
"แต่กลับกลายเป็นต้องเดือดร้อนมากกว่าเดิม เพราะต้องหาเงินไปจ่ายเงินที่กู้มา 5,000 บาท และต้องหาเงินจ่ายค่างวดรถ ค่าใช้จ่ายในร้าน ตอนนี้เดือดร้อนมาก ทั้งนี้ ขอฝากเป็นอุทาหรณ์ให้แก่สังคมอย่าไปหลงเชื่อพวกแอพฯหลอกกู้เงินออนไลน์ เพราะพลาดแล้วหาคืนลำบาก" น.ส.เบญจพรรณ กล่าว
ด้าน ตัวแทนของบริษัทกรุงไทยเยาวราช จำกัด ซึ่งตกเป็นบริษัทผู้เสียหายที่ถูกกลุ่มมิจฉาชีพนำชื่อบริษัทไปแอบอ้าง โดยนายทัศไนย เล้าพูนพิทยะ ทนายความประจำบริษัท ซึ่งได้รับมอบหมายจาก น.ส.ขวัญใจ กมลพันธ์ทิพย์ ผู้จัดการบริษัทกรุงไทยเยาวราช จำกัด ให้เป็นตัวแทน กล่าวว่า ขณะนี้ทางบริษัท กรุงไทย เยาวราช จำกัด ถูกกลุ่มมิจฉาชีพสวมรอยบริษัท และสร้างแอพฯกู้เงินออนไลน์ที่มีลักษณะคล้ายกับสถาบันการเงินของรัฐหลอกประชาชน
นายทัศไนย กล่าวต่อว่า ด้วยการติดต่อไปหาบุคคลที่มีความต้องการกู้เงิน ทั้งในรูปแบบ โทรผ่านทางโทรศัพท์มือ และแชทข้อความผ่านเฟซบุ๊ก โดยการใช้ข้อความชวนเชื่อทำนองว่า "สนใจกู้เงิน แบบไม่ต้องมีคนค้ำประกันหรือไม่ หากสนใจ แอดไลน์และทำตามขั้นตอน" เมื่อเหยื่อหลงเชื่อ เพราะมีข้อเสนอที่ว่าไม่ต้องมีคนค้ำประกัน จากนั้นจะหลอกให้เหยื่อเข้าไปกรอกข้อมูล และต้องเสียค่าสมัครในการกรอกข้อมูลเปิดยูสเซอร์ ประมาณ 300 บาท
นายทัศไนย กล่าวอีกว่า เมื่อเปิดยูสเสร็จ จะเข้าสู่ระบบการทำสัญญาขอสินเชื่อ เหยื่อต้องโอนอีก 300 บาทเศษ เมื่อเหยื่อโอน จะเข้าสู่หน้าบัญชีของแอพฯซึ่งจะเห็นยอดจำนวนเงิน ที่ขอกู้ 50,000 บาท แต่เหยื่อไม่สามารถถอนได้ ต้องโอนเงินค่ามัดจำให้ 5,000-20,000 บาท ขึ้นอยู่ยอดสินเชื่อ จึงจะถอนเงินสด 50,000 บาทได้ เหยื่อหลายรายอยากได้เงินจึงตกเป็นเหยื่อและโอนเงินไป เมื่อโอนเสร็จ มิจฉาชีพจะหว่านล้อม เพื่อให้โอนเงินเพิ่ม ก่อนจะปิดบัญชีหนี
"บริษัท กรุงไทย เยาวราช จำกัด ไม่ได้เป็นบริษัทปล่อยสินเชื่อแต่อย่างไร ในใบขึ้นทะเบียนพาณิชย์ ระบุชัดเจนว่า บริษัทรับจำนำ หรือขายเท่านั้น ไม่ได้มีการปล่อยสินเชื่อแต่อย่างไร และไม่ได้ดำเนินธุรกิจด้านสินเชื่อ เป็นเพียงโรงรับจำนำ สิ่งของ เครื่องประดับ อัญมณี ทองคำ เท่านั้น จึงอยากเตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อเป็นอันขาด ทางบริษัทไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างไร และขณะนี้เราได้เข้าแจ้งความที่ สภ.เมืองโพธาราม จ.ราชบุรี เพื่อเอาผิดกับกลุ่มผู้สวมรอย โดยการแอบอ้างชื่อบริษัททำให้เกิดความเสียหาย" นายทัศไนย กล่าว