UKEM ยานยนต์ดีมานด์ล้น มั่นใจรายได้ทั้งปีพลิกบวก

UKEM ชี้ความต้องการเคมีภัณฑ์กลุ่มยานยนต์-อุปโภคบริโภคพุ่งขึ้น หนุนผลงานครึ่งปีหลังสดใส ไร้สต๊อกลอส เชื่อทั้งปีผลงานพลิกกำไรฉลุย ส่วนความคืบหน้าร่วมมือพาร์ตเนอร์ญี่ปุ่นลุยเคมีภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม มองโอกาสในอนาคตมีเพียบ เดินเกมเจาะกลุ่มลูกค้ารายใหญ่

นายพีรพล สุวรรณนภาศรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูเนี่ยน ปิโตรเคมีคอล จำกัด (มหาชน) หรือ UKEM ผู้ประกอบธุรกิจนำเข้าและจัดจำหน่ายเคมีภัณฑ์ โดยสินค้าของบริษัทประกอบด้วยสารทำละลาย (Solvents) ซึ่งเป็นสินค้าที่จำหน่ายทั่วไป (Commodity Solvent) สำหรับใช้เป็นสารทำละลาย ซึ่งเป็นส่วนประกอบในการผลิตสินค้าในอุตสาหกรรมต่างๆ เปิดเผยว่า ปัจจุบันยังมีความต้องการสินค้าเคมีภัณฑ์จากลูกค้ากลุ่มยานยนต์เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะชิ้นส่วนยานยนต์ เนื่องจากมีการส่งออกเพิ่มขึ้น รวมถึงกลุ่มลูกค้าอุปโภคบริโภคก็มีความต้องการเพิ่มขึ้นเช่นกัน

สำหรับผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลังมั่นใจว่าจะดีกว่าครึ่งปีแรก และคาดว่าทั้งปีผลประกอบการของบริษัทจะสามารถพลิกกลับมาเป็นกำไรได้ หลังจากที่ไตรมาส 2/2566 ขาดทุนสุทธิ 20.46 ล้านบาท เนื่องจากความต้องการสินค้าที่มีเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งไม่มีผลขาดทุนจากการ Stock Loss แล้ว ทำให้ผลประกอบการจะกลับมาดีขึ้น

ส่วนความคืบหน้าการร่วมมือกับพาร์ตเนอร์ญี่ปุ่น เพื่อลงทุนทำธุรกิจผลิตเคมีภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะร่วมมือกับพาร์ตเนอร์ในเรื่องของการนำเทคโนโลยีจากต่างประเทศมาใช้  หลังจากที่บริษัทได้มีการเซ็นสัญญา MOU กันแล้วในช่วงที่ผ่านมา ได้มีการไปดูตลาดมาบ้างแล้ว มูลค่าตลาดในปัจจุบันยังไม่สูงมากนัก แต่มองโอกาสในอนาคตเพราะเป็น New S Cure และบริษัทขนาดใหญ่น่าจะมีการใช้เคมีภณฑ์ดังกล่าวเพิ่มขึ้น

“เค้าเห็นศักยภาพของประเทศไทย ในเรื่องธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม การตื่นตัว เห็นกลุ่มลูกค้าที่ร่วมมือพัฒนาไปร่วมกัน ลูกค้าที่ยอมจ่ายเงินเพิ่มขึ้นในการใช้เคมีภัณฑ์แบบใหม่ เพื่อลดคาร์บอนฟุตพรินต์ โดยเรามองว่าจะเป็นกลุ่มลูกค้ารายใหญ่ที่ซื้อ เพราะจะส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อม” นายพีรพล กล่าว

อย่างไรก็ตามบริษัทได้เตรียมงบลงทุน 100 ล้านบาท เพื่อก่อสร้างโรงงาน ซึ่งจะตั้งเป็นเทอร์มินัลภายในประเทศ(Inland Terminal) เพื่อเป็นศูนย์กระจายสินค้า ตั้งอยู่บริเวณชลบุรี คาดว่าจะเริ่มเดินเครื่องได้ในปี 2567

สำหรับผลประกอบการไตรมาส 2/2566 สิ้นสุดวัน ที่ 30 มิถุนายน 2566 บริษัทมีผลการดำเนินงานขาดทุนสุทธิ 20.46 ล้านบาท เปรียบเทียบกับปี 2565 ซึ่งมีผลการดำเนินงานกำไรสุทธิ 19.66 ล้านบาท ลดลง 40.12 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 204.07 โดยการเปลี่ยนแปลงที่มีนัยสำคัญดังต่อไปนี้

** สต๊อกขาดทุน

- สต๊อกสินค้าไตรมาส 2/2566 เกิดผลขาดทุนจาก Stock Loss และเป็นช่วงที่ความต้องการซื้อของลูกค้าลดลง รวมทั้งมีวันหยุดหลายวันต่อเนื่อง และเป็นช่วงท้ายของขาลงสินค้าทำให้มีผลขาดทุนในกลุ่มเคมีภัณฑ์ทั่วไปและ เคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ มากกว่าปีก่อนในช่วงเวลาเดียวกัน

- รายได้จากการขายไตรมาส 2/2566 เป็นจำนวน1,442.30 ล้านบาท เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2565 ซึ่งมีรายได้จากการขาย 1,645.98 ล้านบาท ลดลง 203.68 ล้านบาท หรือ คิดเป็นร้อยละ 12.37 เป็นผลมาจากราคาขายเฉลี่ยมีราคาปรับตัวลดลงมากกว่าปีก่อน และรายได้ที่ลดลงเป็นการขายสินค้ากลุ่มเคมีภัณฑ์ทั่วไป และเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ