รีเซต

ดูไว้เป็นบทเรียน! ทำไมออสเตรเลียการ์ดตก ยอดติดโควิด-19 พุ่ง

ดูไว้เป็นบทเรียน! ทำไมออสเตรเลียการ์ดตก ยอดติดโควิด-19 พุ่ง
TNN ช่อง16
7 กรกฎาคม 2563 ( 13:26 )
740

ออสเตรเลียไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องประกาศกักตัวประชาชน 6.6 ล้านคนในรัฐวิกตอเรีย ตัดขาดจากโลกภายนอกนับจากเวลา 23.59 น.ของวันนี้ (อังคาร) ตามเวลาท้องถิ่น ทำไมออสเตรเลียที่บริหารจัดการวิกฤตโควิด-19 ได้ดี แต่เกิดปัญหาขึ้นในรัฐวิกตอเรียได้ มาดูกัน


เจ้าหน้าที่ต้องใช้มาตรการเด็ดขาดเพื่อควบคุมไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ โควิด-19 ที่กลับมาระบาดรุนแรงในเมลเบิร์น ซึ่งเป็นเมืองเอกของรัฐวิกตอเรีย และยังเป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 ของออสเตรเลียรองจากซิดนีย์ด้วย 


ในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา รัฐวิกตอเรีย ตรวจพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 127 คน เป็นสถิติรายวันสูงสุด เฉพาะในรัฐวิกตอเรีย มีผู้ติดเชื้อแล้ว 2,663 คน และเสียชีวิต 22 คน

นายแดเนียล แอนดรูว์ส นายกรัฐมนตรีรัฐวิกตอเรีย ประกาศเมื่อวันจันทร์ว่า จะปิดพรมแดนระหว่างรัฐวิกตอเรียที่ติดกับนิวเซาท์เวลส์  ซึ่งเป็น 2 รัฐที่มีประชากรมากที่สุด เป็นครั้งแรกตั้งแต่ไวรัสโควิด-19 เริ่มระบาด 


การปิดพรมแดนรัฐ นี้เป็นมาตรการป้องกันไว้ก่อน และยังไม่รู้ว่าจะกลับมาสัญจรกันปกติได้เมื่อไหร่ (ปกติเที่ยวบินระหว่างซิดนีย์และเมลเบิร์น ซึ่งเป็นเมืองเอกของทั้งสองรัฐ ถือเป็นหนึ่งในเส้นทางบินที่คึกคักที่สุดในโลก)


ก่อนหน้านี้ การติดเชื้อที่พบในออสเตรเลียส่วนใหญ่มาจากผู้ที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศ แต่ในตอนนี้ มากกว่า 80% ของผู้ติดเชื้อรายใหม่ นั้นแพร่ระบาดในชุมชนท้องถิ่น ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน


และการระบาดในเมลเบิร์นในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา เพิ่มเป็นหลายร้อยคนแล้ว คิดเป็นสัดส่วนถึง 95% ของจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ทั้งประเทศ


นายแอนดรูวส์ ระบุว่า การปิดพรมแดนเป็นการตัดสินใจที่ยาก แต่จะเป็นต้องทำเพื่อควบคุมการระบาด และถือเป็นครั้งแรกในรอบ 100 ปีที่ทั้งสองรัฐปิดพรมแดนระหว่างกัน


การปิดพรมแดนนี้สะท้อนความกังวลของรัฐบาลออสเตรเลียและเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่กลัวว่า ไวรัสจะหลุดจากพรมแดนวิกตอเรีย เข้าไปในนิว เซาธ์เวลส์ ซึ่งเป็นรัฐที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดของออสเตรเลีย ทั้งๆที่ก่อนหน้าที่นายกรัฐมนตรีของทั้งสองรัฐยืนยันหนักแน่นว่าไม่มีทางปิดพรมแดน


ทั้งสองรัฐมีจุดผ่านแดนราว 50 จุด การปิดพรมแดน จะสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงเรื่องระบบลอจิสติกส์ เช่นกัน


เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา รัฐวิกตอเรียได้สั่งล็อกดาวน์เข้มงวด กับ 9 ชุมชนในเมลเบิร์น โดยห้ามประชาชนราว 3000 คนออกจากบ้านของตนเอง เพราะมีการพบผู้ติดเชื้อเป็นคลัสเตอร์ในบริเวณดังกล่าว ทำให้ประชาชนในเขตดังกล่าวไม่พอใจอย่างมากต่อคำสั่งล็อกดาวน์กระทันหันนี้


สาเหตุ


1.การบริหารจัดการที่ล้มเหลวในโรงแรมกักกัน


การระบาดรอบใหม่ในรัฐวิคตอเรียนั้นเกิดจากการที่ พนักงานรับจ้างในโรงแรมที่ใช้เป็นที่กักกันผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ ไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนการทำงานอย่างเคร่งครัด และมีการกล่าวหาไปถึงบริษัทรักษาความปลอดภัยสัญญาจ้าง ที่ไม่มีการเทรนพนักงานรักษาความปลอดภัยอย่างเหมาะสม และยังขาดชุดป้องกันตนเอง


ในขณะที่นายแอนดรูว์ยอมรับว่า ผู้ติดเชื้อระหว่างเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน อาจเกี่ยวข้องกับการฝ่าฝืนมาตรการกักกันตัวที่โรงแรม และระบุว่า มีการปฏิสังคมกันอย่างไม่ถูกต้องระหว่างพนักงานในโรงแรมด้วยกัน เช่น พนักงานใช้บุหรี่และที่จุดบุหรี่ร่วมกัน นั่งรถไปกลับด้วยกัน ในขณะที่สื่อท้องถิ่นยังรายงานว่าพนักงานมีเพศสัมพันธ์กับแขกที่เข้าพักด้วย ทำให้รัฐบาลของรัฐได้สั่งสอบสวนเรื่องนี้ และเลิกจ้างบริษัทสัญญาจ้างไปแล้ว


ทั้งนี้ ทางการออสเตรเลียได้ให้โรงแรมจำนวนหนึ่งทั่วประเทศเข้าร่วมโครงการคุมเข้มชายแดน โดยกำหนดว่าใครก็ตามที่เดินทางมาจากต่างประเทศ (มีเพียงพลเมืองออสเตรเลียและผู้พำนักถาวรเท่านั้นที่เข้าประเทศได้) ต้องเข้าไปกักกันตนเอง 14 วันตามโรงแรมเหล่านั้น เฉพาะในรัฐวิกตอเรีย มีคนที่กลับจากต่างประเทศแล้วเข้ากักกันตัวที่โรงแรมไปแล้วราว 20000 คน


ABC สื่อของออสเตรเลีย รายงานว่า พบผู้ติดเชื้อราว 31 รายที่เกี่ยวข้องกับโรงแรม Stamford Plaza ในเมลเบิร์น และผู้ติดเชื้ออีกกลุ่มเกี่ยวข้องกับโรงแรม Swanston 


เรื่องนี้เป็นปัญหาในเชิงระบบจากการใช้บริษัทสัญญาจ้าง ในขณะที่รัฐนิว เซาธ์ เวลส์นั้น ไม่ได้ใช้บริษัทรับจ้าง แต่ให้ตำรวจท้องถิ่นเป็นผู้เข้ามาดูแลแทน


2.ปัญหาสะสมเดิม


ในรัฐวิกตอเรีย ช่วงการล็อกดาวน์ ทางการได้แสดงความกังวลว่า เรื่องคลัสเตอร์การระบาดที่โรงฆ่าสัตว์แห่งหนึ่งทางตะวันตกของนครเมลเบิร์น โดยมีผู้ติดเชื้อ 111 รายในคลัสเตอร์นี้ 


แต่เมื่อมีการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ในเวลาต่อมา ทำให้ผู้คนสามารถปสัมพันธ์กันได้ และออกไปใช้ชีวิตข้างนอกบ้านได้ จึงทำให้ผู้เชี่ยวชาญกังวลว่า อาจมีการระบาดสืบเนื่องจากคลัสเตอร์ดังกล่าว โดยเฉพาะจากกลุ่มผู้ติดเชื้อที่ไม่แสดงอาการหรือหลุดรอดจากการตรวจจับ


3.การ์ดตกเมื่อผ่อนคลายล็อกดาวน์


ความสำเร็จของออสเตรเลียในการควบคุมการระบาด และการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ ทำให้ประชาชนระมัดระวังน้อยลงผู้เชี่ยวชาญระบุว่า คนรู้สึกว่า สถานการณ์ดีขึ้นแล้ว ทั้งๆที่ยังไม่ใช่


แม้ทางการแนะนำให้ประชาชนยังควรรักษาระยะห่างทางสังคม และจำกัดจำนวนการรวมกลุ่มหมู่มาก แต่ยังพบว่ามีการพบปะสังสรรค์กันขนานใหญ่ของครอบครัวต่างๆ และพบว่าผู้ติดเชื้อบางรายที่ไม่แสดงอาการ หรือมีอาการน้อย ได้ไปร่วมงานเหล่านั้น


4.ชุมชนผู้อพยพ


จุด"hotspots" ของการล็อกดาวน์เมลเบิร์นอยู่ในฝั่งเหนือ และตะวันตกของเมือง ซึ่งเป็นชุมชนผู้อพยพขนาดใหญ่


ผู้นำชุมชนระบุว่า การสื่อสารด้านสาธารณสุขของรัฐบาลยังไม่เพียงพอสำหรับกลุ่มคนที่ไม่ได้พูดภาษาอังกฤษ สิ่งเหล่านี้ทำให้สถานการณ์แย่ลงเมื่อมีการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์


ทั้งนี้เมลเบิร์นเป็นเมืองพหุวัฒนธรรม โดยมีสัดส่วนกลุ่มคนที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษมากเกือบ 35% ของครัวเรือนทั้งหมด


นักวิเคราะห์ระบุว่า กลุ่มคนเหล่านี้มักถูกมองข้ามไป และยังพบว่า การแปลข้อมูลต่างๆนั้นไม่เพียงพอ


อย่างไรก็ตาม รัฐอื่นๆของออสเตรเลียยังมีอัตราการติดเชื้อที่ต่ำ และออสเตรเลียตั้งเป้าจะยกเลิกมาตรการล็อกดาวน์ทั้งหมดในปลายเดือนนี้ แต่เมื่อเกิดสถานการณ์ระบาดในรัฐวิกตอเรีย จึงอาจทำให้มีการปรับเป้าหมายใหม่


จากข้อมูลของมหาวิทยาลัยจอห์นส ฮอปกินส์ พบว่าทั่วออสเตรเลีย พบผู้ติดเชื้อมากกว่า 8,500 คน และเสียชีวิต 106 คน 

เกาะติดข่าวที่นี่
website: www.TNNThailand.com
facebook : TNNThailand
facebook live : TNN Live
twitter : @TNNThailand
Line : @TNNONLINE
Youtube Official : TNNThailand
Instagram : @tnn_online
TIKTOK : @tnnonline


ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง