รีเซต

ลูกค้าขอ "มาร์จิ้น" ต้องแจ้งวัตถุประสงค์ "ก.ล.ต." คุมเข้มโบรกฯบริหารความเสี่ยง

ลูกค้าขอ "มาร์จิ้น" ต้องแจ้งวัตถุประสงค์ "ก.ล.ต." คุมเข้มโบรกฯบริหารความเสี่ยง
TNN ช่อง16
17 ตุลาคม 2568 ( 15:47 )
9

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ออกหลักเกณฑ์เกี่ยวกับมาร์จิ้นโลน และกำหนดให้ บล. และผู้ประกอบธุรกิจสัญญาฯ ไม่ให้บริการที่เข้าข่ายเป็นการให้กู้เงินโดยมีหลักทรัพย์เป็นประกันที่ไม่จำกัดวัตถุประสงค์การใช้เงิน (Loan Against Securities) เพื่อให้ บล. และผู้ประกอบธุรกิจสัญญาฯ มีการให้บริการและการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม และสร้างความเชื่อมั่นต่อตลาดทุนโดยรวม โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้

(1) ปรับปรุงอัตรามาร์จิ้นเริ่มต้น (Initial Margin) ของหุ้นจดทะเบียนที่ออกและเสนอขายหลักทรัพย์เป็นครั้งแรก (หุ้น IPO) เพื่อลดความเสี่ยงที่หลักประกันจะไม่เพียงพอกับการชำระหนี้

(2) ปรับปรุงหลักเกณฑ์การปล่อยกู้ให้สอดคล้องกับฐานะของ บล. โดยกำหนดยอดหนี้คงค้างจากการให้กู้ยืมเงินเพื่อซื้อหลักทรัพย์แก่ลูกค้าทุกรายรวมกัน และแก่ลูกค้ารายใดรายหนึ่งให้รัดกุมขึ้น

(3) กำหนดให้ บล. มีมาตรการบริหารความเสี่ยงกรณีพบการกระจุกตัวของหุ้นที่ลูกค้านำมาวางเป็นหลักประกัน เช่น กำหนดระดับการกระจุกตัวของหลักประกัน และการติดตามคุณภาพและการกระจุกตัวของลูกหนี้ เพื่อการติดตามและรายงานความเสี่ยง รวมถึงแก้ปัญหาได้ทันท่วงที

(4) กำหนดประเภทหน่วยลงทุน (daily redemption fund) ของกองทุนรวมที่สามารถวางเป็นหลักประกัน และเป็นหลักทรัพย์ที่ให้กู้ยืมเพื่อซื้อในบัญชีมาร์จิ้นได้ (marginable securities) ได้แก่ กองทุนรวมดัชนี กองทุนรวมหน่วยลงทุน และกองทุนรวมฟีดเดอร์ ซึ่งมีลักษณะเป็นไปตามที่กำหนด

สำหรับหน่วยลงทุนของกองทุนรวมที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เช่น กองทุนรวมอีทีเอฟ ถือเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน ซึ่งสามารถใช้วางเป็นหลักประกัน และ marginable securities ได้ตามหลักเกณฑ์ปัจจุบัน

(5) กำหนดให้ บล. และผู้ประกอบธุรกิจสัญญาฯ ต้องไม่ให้บริการที่อาจเข้าข่ายเป็นการให้กู้ยืมเงินโดยมีหลักทรัพย์เป็นหลักประกันที่ไม่จำกัดวัตถุประสงค์การใช้เงิน (Loan Against Securities) โดยให้พิจารณาจากข้อเท็จจริงหรือสาระที่แท้จริง (substance) ของธุรกรรมนั้นเป็นสำคัญ ไม่ว่าธุรกรรมดังกล่าวจะมีลักษณะหรือรูปแบบใดก็ตาม

หลักเกณฑ์ดังกล่าวจะมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม 2568 ยกเว้นหลักเกณฑ์ตาม (2) จะมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 16 เมษายน 2569 และสำหรับผู้ประกอบธุรกิจที่มียอดหนี้คงค้างเกินกว่าเกณฑ์กำหนดก่อนประกาศลงราชกิจจานุเบกษา ให้มีระยะเวลาเพื่อแก้ไขให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดภายใน 1 ปี นับแต่วันที่ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง