"โอกาสสุดท้าย" ปรับพอร์ตลงทุนโค้งท้ายปี แนะกลยุทธ์รับมือตลาดผันผวน ห้ามพลาดสัญญาณสำคัญ

ท่ามกลางบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยที่ยังคงเต็มไปด้วยความท้าทาย โดยเฉพาะสถิติใหม่ที่น่าตกใจเมื่อตลาดหุ้น IPO ของไทยในปี 2568 นี้ซบเซาหนักที่สุดในรอบ 14 ปี สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่เปราะบาง

คุณประกิต สิริวัฒนเกตุ กรรมการผู้จัดการ บลจ.เมอร์ชั่นพาร์ทเนอร์ จำกัด ได้ให้มุมมองในรายการ WEALTH LIVE วันที่ 24 พฤศจิกายน 2568 ว่า นี่คือช่วงเวลา "วัดใจ" ครั้งสำคัญ หรืออาจเรียกว่าเป็น "โอกาสสุดท้าย" ของปีสำหรับการปรับพอร์ตการลงทุน แม้ภาพรวมตลาดจะดูเงียบเหงา แต่ในวิกฤตย่อมมีโอกาสเสมอ สำหรับนักลงทุนที่มองหาผลตอบแทนชนะตลาด ต้องเน้นกลยุทธ์ "Selective Buy" หรือการเลือกซื้อหุ้นรายตัวที่มีพื้นฐานแกร่งจริง ๆ

โดยเฉพาะหุ้นที่มีแนวโน้มกำไรเติบโตสวนทางเศรษฐกิจ หรือหุ้นที่ราคาปรับตัวลงมามากจนต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง (Undervalued) ซึ่งจะเป็นเป้าหมายของการทำ Window Dressing หรือการทำราคาปิดบัญชีสวย ๆ ของกองทุนในช่วงสิ้นปี นักลงทุนควรหลีกเลี่ยงการเก็งกำไรในหุ้นที่ไม่มีสตอรี่รองรับ และหันมาโฟกัสหุ้นที่มีปันผลดีเพื่อเป็นเกราะป้องกันความผันผวน

ส่วนทองคำที่ยังคงร้อนแรงต่อเนื่อง นายแพทย์ กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกรรมการ กลุ่มบริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ แม่ทองสุก จำกัด (MTS Gold) ได้วิเคราะห์สถานการณ์ราคาทองคำล่าสุดที่เปิดตลาดปรับลดลง 150 บาท ส่งผลให้ราคาทองคำแท่งขายออกอยู่ที่ 62,300 บาท และ ทองรูปพรรณขายออกที่ 63,100 บาท

นพ.กฤชรัตน์ ชี้ว่า การย่อตัวครั้งนี้ได้รับแรงกดดันจากความกังวลเรื่องทิศทางดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาแข็งแกร่งกว่าคาด ทำให้ราคาทองคำโลก (Gold Spot) แกว่งตัวในกรอบ 4,000 - 4,050 ดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม สำหรับนักลงทุนระยะกลาง-ยาว นี่คือ "โอกาสสุดท้าย" ในการเข้าสะสมทองคำในโซนราคาต่ำ

โดยให้จับตากรอบแนวรับสำคัญทางจิตวิทยาที่บริเวณ 61,500 - 61,000 บาท หากราคาลงมาทดสอบแถวนี้ แนะนำให้ใช้กลยุทธ์ "Buy on Dip" หรือทยอยสะสมเข้าพอร์ต เพราะเชื่อว่าเทรนด์หลักของทองคำยังคงเป็นขาขึ้นในระยะยาว และมีโอกาสดีดตัวกลับแรงในช่วงเทศกาลปีใหม่และตรุษจีนที่กำลังจะมาถึง ส่วนแนวต้านระยะสั้นมองไว้ที่ 63,000 - 63,500 บาท นักเก็งกำไรควรวางแผนเข้า-ออกให้ไวตามกรอบราคานี้