รีเซต

แคนนาดา-สหรัฐ ร้อนจัดเฉียด 50 องศา เสียชีวิตเพราะคลื่นความร้อนกว่า 230 ศพ

แคนนาดา-สหรัฐ ร้อนจัดเฉียด 50 องศา เสียชีวิตเพราะคลื่นความร้อนกว่า 230 ศพ
TNN World
1 กรกฎาคม 2564 ( 09:43 )
858

Editor’s Pick: คลื่นความร้อนที่ปกคลุมสหรัฐฯ และแคนาดาทำให้หลายเมืองอุณหภูมิพุ่งสูงเกือบ 50 องศาเซลเซียส และพบผู้เสียชีวิตนับร้อยคน 

 


คลื่นความร้อนครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังมีโดมความร้อนปกคลุม ทำให้อากาศร้อนจัดและรุนแรง จนมีผู้เสียชีวิตอย่าง "ปัจจุบันทันด่วน" แล้วนับร้อยราย

 

 

 

สถานการณ์ร้อนทะลุปรอทในแคนาดา


สำนักข่าว CBC ของแคนาดา รายงานว่า นับตั้งแต่วันศุกร์ (25 มิถุนายน) ถึงวันจันทร์ (28 มิถุนายน) มีรายงานผู้เสียชีวิต 233 คน โดยส่วนใหญ่เป็นผู้สูงวัย และมีโรคประจำตัวอยู่แล้ว ทำให้เจ้าหน้าที่เชื่อว่า "คลื่นความร้อน" เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้อย่างน้อย 65 คน ในเมืองแวนคูเวอร์เสียชีวิต

 


"แวนคูเวอร์ ไม่เคยเจอเหตุการณ์ร้อนจัดเช่นนี้มาก่อน และเป็นเรื่องที่น่าเศร้าที่ต้องมีคนตายลงจากอากาศเช่นนี้" นายตำรวจแคนาดา ระบุ

 


ขณะที่เมืองเบอร์นาบี ในรัฐบริติชโคลอมเบีย ก็มีรายงานการเสียชีวิตอย่างกระทันหันอย่างน้อย 34 คน และเมืองเซอร์เรย์อีก 38 คน
ส่วนเมืองลิตตัน ห่างจากแวนคูเวอร์ ไปทางตะวันออกราว 250 กิโลเมตร เป็นพื้นที่ที่พบอุณหภูมิสูงสุดทำสถิติเป็นวันที่ 3 ต่อเนื่อง โดยสูงถึง 49.5 องศาเซลเซียส เมื่อวันอังคาร (29 มิถุนายน) ที่ผ่านมา ซึ่งนับว่าสูงที่สุดในรอบ 84 ปี 
พยากรณ์อากาศแคนาดาคาดว่า อุณหภูมิจะพุ่งสูงทุบสถิติอีกในภาคตะวันตกของแคนาดา

 

 

จะร้อนแบบนี้ต่อไปอีกตลอดสัปดาห์


จอห์น ฮอร์แกน มุขมนตรีรัฐบริติช โคลัมเบีย เตือนชาวแคนาดาว่า สัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์ที่ร้อนจัดที่สุด เท่าที่เคยเกิดขั้นในบริติช โคลัมเบีย หลังแคนาดาออกคำเตือนภัยคลื่นความร้อนอันตราย ยาวนาน และอากาศจะร้อนจัดตลอดสัปดาห์นี้ ในรัฐบริติช โคลัมเบีย, อัลเบอร์ตา, ซัสคัตเชวาน, มานิโทนา, ยูคอน และนอร์ธเวสท์ เทอร์ริทอรี่ส์

 


ประชาชนบอกว่า มันเริ่มจะรับไม่ได้แล้ว เพราะมีสภาวะร้อนและแห้ง ซึ่งทรมานอย่างมาก ทำให้พวกเขาไม่กล้าจะออกนอกบ้านในช่วงเวลานี้ 

 


ก่อนหน้าสัปดาห์แห่งคลื่นความร้อนพัดปกคุลมนี้ อุณหภูมิที่ประเทศแคนาดา ไม่เคยร้อนเกินกว่า 45 องศาเซลเซียส แต่ "คลื่นร้อน" ที่มีลักษณะเป็น โดมความกดอากาศสูง ปกคลุมแถบตะวันตกเฉียงเหนือของสหรัฐฯ และแคนาดา ทำให้หลายเมืองอุณหภูมิสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์

 

 


ประชาชนส่วนใหญ่ไม่มีแอร์


มีการเก็บสถิติพบว่า มีเพียงไม่ถึง 40% ของบ้านเรือนในบริติชโคลอมเบีย ที่มีเครื่องปรับอากาศ ทำให้ต้องมีการเปิดสถานที่สาธารณะ เช่น บ่อน้ำพุ, ศูนย์การค้า เพื่อเปิดแอร์ให้ประชาชนสามารถคลายความร้อนได้ นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่า ต้องปิดโรงเรียน และมหาวิทยาลัยด้วย 

 


คลื่นความร้อนจัด ทำให้ศูนย์ฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 ในแวนคูเวอร์ต้องปิดทำการ ชาวแคนาดาจำนวนมาก ต้องไปพักอยู่ในรถยนต์ของตัวเองเพื่อเปิดแอร์ เนื่องจากบ้านไม่มีแอร์ และซื้อไม่ทัน เพราะร้านต่าง ๆ ขายแอร์และพัดลมจนหมดเกลี้ยง

 

 


สหรัฐฯ ร้อนสุดในรอบ 80 ปี


ส่วนที่สหรัฐฯ อุตุนิยมวิทยาแห่งชาติสหรัฐฯ อากาศก็ร้อนจัดไม่แพ้กัน
พอร์ทแลนด์ รัฐโอเรกอน - 46.1 องศาเซลเซียส
ซีแอตเทิล รัฐวอชิงตัน - 42.2 องศาเซลเซียส 


ทำให้มีรายงานจากการไฟฟ้าเมืองพอร์ทแลนด์ ว่า สภาพอากาศร้อนจัด ทำให้สายไฟฟ้าหลอมละลาย จนต้องยกเลิกการให้บริการบางส่วนลงชั่วคราว  

 


นับเป็นอุณหภูมิที่พุ่งสูงสุดทำลายสถิติในรอบ 80 ปี นับตั้งแต่เริ่มเก็บสถิติอุณหภูมิสูงสุดในทศวรรษ 1940 เป็นต้นมา พร้อมกับออกคำเตือนภัยคลื่นความร้อนอันตราย เตือนประชาชนให้อยู่แต่ภายในอาคารบ้านเรือนที่เปิดเครื่องปรับอากาศ หลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง และดื่มน้ำมาก ๆ

 


ล่าสุด มีรายงานผู้เสียชีวิตมากกว่า 10 ราย ใน 2 รัฐนี้ โดยคาดว่าเชื่อมโยงกับคลื่นความร้อน

 


ในรัฐวอชิงตัน นครซีแอตเทิลมีสภาพร้อนจัดเหมือนทะเลทราย เมืองสโปเคน ต้องใช้วิธีดับไฟสลับพื้นที่กัน เพื่อป้องกันไม่ให้ไฟดับทั้งเมือง หลังจากประชาชนกระหน่ำเปิดแอร์ดับร้อน 

 


ในรัฐออริกอน ประชาชนในเมืองพอร์ทแลนด์ แห่เข้าไปพักในศูนย์คลายร้อนฉุกเฉิน ที่เปิดทั่วเมืองเพื่อช่วยดับร้อนให้แก่ประชาชนได้ทันที ป้องกันการได้รับอันตรายหรือเสียชีวิตจากคลื่นความร้อน ส่วนในเมืองยูจีน คลื่นความร้อนทำให้ต้องเปลี่ยนเวลาการแข่งกีฬาลู่และลานโอลิมปิก จากตอนบ่ายไปเป็นตอนค่ำแทน ในรัฐแคลิฟอร์เนีย คลื่นความร้อนยังทำให้เกิดไฟป่าด้วย

 

 


อากาศรุนแรงอาจเชื่อมโยง "โลกร้อน"


นักอุตุนิยมวิทยา ที่ติดตามสภาพอากาศที่รุนแรงหลายครั้งที่ผ่านมา พบความเชื่อมโยงว่า เกิดขึ้นเนื่องจากสภาวะอากาศเปลี่ยนแปลงและโลกที่กำลังร้อนขึ้น แต่ก็ยังจัดว่าเป็นเรื่องที่ซับซ้อนมาก ๆ อยู่ดี 
และทุกสิ่งล้วนเกิดความเชื่อมโยงกัน...โลกร้อน-อากาศร้อนจัด-แห้งจัด-เกิดไฟป่า-น้ำแข็ง/หิมะละลายเร็วขึ้น-เสี่ยงเกิดน้ำท่วมฉับพลันง่ายขึ้น

ข่าวที่เกี่ยวข้อง