"ทัวร์จีน" ทะลักเวียดนาม ขึ้นแท่นเบอร์ 1 แทนที่ "ประเทศไทย"

"เวียดนาม" แซงหน้า "ไทย" นักท่องเที่ยวจีนทะลัก ตลาดอาเซียนเปลี่ยนทิศ
นักท่องเที่ยวจีนหายไปไหน? คำตอบคือหายจากไทยไปโผล่ที่เวียดนาม ปีนี้การท่องเที่ยวของเวียดนามคึกคักและเติบโตอย่างก้าวกระโดด แซงหน้าทั้งประเทศไทย และมาเลเซีย ขึ้นแท่นกลายเป็นจุดหมายปลายทางอันดับที่หนึ่งของนักท่องเที่ยวจีน ในกลุ่มของชาติอาเซียนไปแล้ว
บลูมเบิร์กรายงานอ้างอิงข้อมูลของรัฐบาลจีน ระบุตัวเลขนักท่องเที่ยวชาวจีนที่ออกนอกประเทศในครึ่งปีแรก นับตั้งแต่ มกราคม-มิถุนายน 2568 ยืนยันว่าชาวจีนเดินทางไปเวียดนามมากที่สุด คือ 2.7 ล้านคน ตามด้วย ประเทศไทย 2.3 ล้านคน ประเทศมาเลเซีย 2.2 ล้านคน
ขณะเดียวกันล่าสุดหากนับตั้งแต่ในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ (มกราคม-สิงหาคม 2568) เวียดนามได้เปิดบ้านต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติไปแล้วเกือบ 14 ล้านคน โดยมีชาวจีนมากที่สุด คือ มากกว่า 3.5 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน มากถึง 44% และจากข้อมูลของบริษัทวิเคราะห์ตลาด BMI คาดว่าในปีนี้ (2568) เวียดนามจะสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากถึง 22.6 ล้านคน ซึ่งจะทำลายสถิติสูงสุดเดิมที่ 18 ล้านคน ก่อนยุคโควิดในปี 2562
หนึ่งในประเด็นสำคัญ ที่น่าสนใจ คือ การที่เวียดนามได้รับความนิยมจากชาวจีนแบบนี้ ไม่ใช่แค่เพราะว่าโชคช่วย หรือเพราะคนจีนหนีไปจากไทยเท่านั้น แต่มาจากการทิศทางของเทรนด์การท่องเที่ยวที่เปลี่ยนไป และกลยุทธ์ที่ทางการเวียดนามปรับใช้เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวด้วย
ย้อนกลับไปในอดีต สมัยก่อนเกิดโควิด-19 ไทยเคยดินแดนสวรรค์สำหรับนักท่องเที่ยวชาวจีน เราเคยเป็นจุดหมายอันดับท้อป ต้อนรับนักท่องเที่ยวมากกว่า 10 ล้านคนต่อปี พูดง่ายๆว่ายุคนั้นคนไทยไปที่ไหนก็เจอแต่ทัวร์จีน และเป็นการช่วยสร้างรายได้อย่างมหาศาลให้กับภาคการท่องเที่ยวทั้งระบบ แต่ปัจจุบันนี้ นักท่องเที่ยวคนจีนหายไป ตัวเลขหดตัวอย่างต่อเนื่องหลายเดือนติดกัน จากปัญหาเรื่องความเชื่อมั่นเรื่้องความปลอดภัย จากข่าวด้านลบที่ออกมาเมื่อช่วงต้นปี และสถานการณ์ก็หนักถึงขั้นทำให้ภาพรวมของยอดนักท่องเที่ยวต่างชาติปีนี้ไทย ต้องถูกปรับลดลง จาก 40 ล้านคน เหลือเพียงแค่ 35 ล้านคนเท่านั้น
ข้อมูลจาก "China Trading Desk" ซึ่งเป็นบริษัทผู้ให้บริการแพลตฟอร์มการตลาดด้านการท่องเที่ยวในประเทศจีน ได้มีการติดตามการเดินทางและการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตของนักท่องเที่ยวจีน ระบุว่าการเปลี่ยนแปลงในทิศทางการท่องเที่ยวของชาวจีนในครั้งนี้ อาจทำให้ประเทศไทยต้องสูญเสียรายได้มากถึง 3 พัน 5 ร้อยล้านดอลลาร์ ให้กับเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม
โดยปัจจัยกระตุ้นสำคัญ คือ พฤติกรรมของนักท่องเที่ยวชาวจีนกำลังเปลี่ยนแปลงไป เพราะกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนรุ่นใหม่ๆนิยมเดินทางด้วยตนเอง ซึ่งต่างจากอดีตที่เรามักจะเป็นคนจีนนิยมเดินทางเป็นกรุ๊ปทัวร์ และนี่คือสัญญาณที่กำลังบอกว่าได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญขึ้นแล้ว ในทิศทางของตลาดนักท่องเที่ยวชาวจีน ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ซีอีโอของ China Trading Desk กล่าวว่า ชาวจีนส่วนใหญ่กว่า 40% เป็นนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปต่างประเทศครั้งแรก ลักษณะของชาวจีนกลุ่มนี้คือมีความเป็นตัวของตัวเอง มีการศึกษา และมองหาประสบการณ์การท่องเที่ยวที่แท้จริง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ต้องการการไปเที่ยวที่มีรูปแบบแบบเดิมๆ ด้วยการขึ้นรถทัวร์แล้วพาไปแวะเที่ยวชมตามสถานที่ต่างๆ แต่อยากอะไรที่ต่างจากในประเทศจีน และยังพร้อมเต็มที่และเต็มใจอย่างยิ่งถ้าจะต้องจ่ายเงินเพิ่มมากขึ้นแล้วได้การท่องเที่ยวที่ตรงใจ
ขณะเดียวกันเมื่อมีการเติบโตที่ร้อนแรง รัฐบาลเวียดนามก็เร่งเจาะกลุ่มตลาดจีนให้ตรงจุดมากขึ้น รัฐบาลเวียดนามและบริษัททัวร์เอกชน ต่างพากันออกแพคเกจกระตุ้นการท่องเที่ยวไปยังตลาดของนักท่องเที่ยวชาวจีนโดยเฉพาะ เช่น เทศกาลพาราไกลดิ้งและบอลลูนลมร้อน ณ เมืองกว๋างนิญ ซึ่งเป็นเมืองติดขอบชายแดนประเทศจีน บริเวณเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง ได้ร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนท้องถิ่น จัดงานขึ้นมาเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวให้ใช้เวลาอยู่ในประเทศมากขึ้น
หรือจะเป็นเมืองดานัง ริมชายฝั่งทะเลจีนใต้ ที่ในปัจจุบันนี้มีการใช้ป้ายกำกับเป็นภาษาจีนปรากฎอยู่เต็มไปหมดทั่วทั้งเมือง ตั้งแต่โรงแรมที่พัก ไปถึงแผงขายอาหารริมทาง และร้านนวด นอกจากนี้โรงแรมท้องถิ่นก็ยังหันไปรับพนักงานที่พูดภาษาจีนกลางได้มาทำงานมากขึ้น และมีการใช้แอปพลิเคชั่นแปลภาษาเพื่อสื่อสารกับลูกค้า
หรือจะเป็น Hava Travel บริษัททัวร์ในเมืองดานังและนาตรัง ที่ได้ปรับกลยุทธ์จากทัวร์ชั้นประหยัด มาเป็นทัวร์บูติก (Boutique Tour) หมายถึงทัวร์ขนาดเล็ก เน้นความพิเศษ มีเอกลักษณ์ และการออกแบบที่โดดเด่น เพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่น่าประทับใจและไม่เหมือนใคร และส่งผลทำให้ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาเพียงเดือนเดียว บริษัทให้บริการลูกค้าได้มากกว่า 2,000 ราย เพิ่มขึ้น 20% จากช่วงต้นปี
กระแสตอบรับที่ดี การท่องเที่ยวที่บูมขึ้นมาจากนักท่องเที่ยวชาวจีนเป็นผลดีอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจ ข้อมูลจากบริษัทวิเคราะห์ตลาด BMI รายงานว่ายอดค้าปลีก ของเวียดนาม ในช่วง 8เดือนแรกโตเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดถึง 51% ในปีนี้เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เนื่องจากแรงหนุนจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นหลัก
การท่องเที่ยวของเวียดนามที่เติบโตอย่างร้อนแรงในปีนี้เป็นผลดีอย่างยิ่งสำหรับเศรษฐกิจ ซึ่งล่าสุดแม้จะเจอความท้าทายการภาษีการค้าของทางสหรัฐ และรัฐบาลเวียดนามยังคงมั่นใจว่าเศรษฐกิจจะยังโตได้อย่างแข็งแกร่ง ตั้งเป้าโตเฉลี่ย 10% ต่อปีใน 5 ปีข้างหน้า
เศรษฐกิจ "เวียดนาม" ยังแกร่ง มั่นใจโตไม่ต่ำกว่า 10% ในช่วง 5 ปีข้างหน้า
รัฐบาลเวียดนามตั้งเป้า การเติบโตทางเศรษฐกิจเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 10% ต่อปีในช่วง 5 ปีข้างหน้า แม้ต้องเผชิญแรงกดดันจากภาษีนำเข้าของสหรัฐ และความไม่แน่นอนในระบบการค้าระดับโลกที่อาจกระทบต่อการส่งออกและการลงทุน
นายกรัฐมนตรี ฟาม มินห์ จิ๋ง (Pham Minh Chinh) กล่าวต่อที่ประชุมสภาแห่งชาติในกรุงฮานอยเมื่อวันจันทร์ว่า ประเทศจะยังคงให้ความสำคัญกับ การขยายตัวทางเศรษฐกิจ ควบคู่กับการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมหภาค ควบคุมเงินเฟ้อ รักษาสมดุลทางการคลัง และจำกัดหนี้สาธารณะกับขาดดุลงบประมาณให้อยู่ในระดับเหมาะสม
โดยเขากล่าวว่า เวียดนามจะเดินหน้าส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยไม่ละเลยเสถียรภาพทางการเงินและสังคม และเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจเวียดนามจะเติบโต มากกว่า 8% ในปีนี้ และรัฐบาลยังคงตั้งเป้าให้การเติบโตในปี 2568อยู่ระหว่าง 8.3–8.5% หลังจากไตรมาสที่ผ่านมาเศรษฐกิจเวียดนามเติบโตเร็วที่สุดในรอบ 3 ปี เนื่องจากภาคการผลิตได้เร่งการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ ให้ทันก่อนที่ภาษีชุดใหม่จะมีผลบังคับใช้ในช่วงต้นเดือนสิงหาคม
นอกจากนี้รัฐบาลจะเร่งพัฒนาตลาดภายในประเทศและอีคอมเมิร์ซ กระตุ้นการบริโภคของประชาชน และดำเนินการอย่างเด็ดขาดต่อการลักลอบค้าและทุจริตทางการค้า
สำหรับในด้านต่างประเทศ เวียดนามตั้งเป้าเพิ่มประสิทธิภาพการส่งออกในตลาดดั้งเดิม และขยายตลาดใหม่ด้วยการลงนามข้อตกลงการค้าเสรีกับภูมิภาคต่าง ๆ เช่น ตะวันออกกลาง ลาตินอเมริกา แอฟริกา และปากีสถาน
ที่สำคัญ คือ เวียดนามได้พยายามกระจายตลาดส่งออกเพื่อลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ พร้อมกันนี้ยังให้คำมั่นว่าจะเร่งรัดโครงการสำคัญในภาคพลังงานหมุนเวียนและอุตสาหกรรม โดยขณะนี้มีโครงการอยู่ระหว่างการพิจารณาราว 3,000 โครงการ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้เรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดขั้นตอนต่าง ๆ เพื่อดึงดูดการลงทุนและเพิ่มศักยภาพการผลิตของประเทศ
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
