ปี 2569 AI ยังมาแรง บริษัทเทคกู้หนี้ลงทุน

ปี 2568 ถือเป็นที่ “ปัญญาประดิษฐ์” หรือ AI มีบทบาทโดดเด่นในการขับเคลื่อนตลาดหุ้นทั่วโลก โดยเฉพาะหุ้นเทคโนโลยีรายใหญ่ ๆ ที่ราคาหุ้นพุ่งแบบก้าวกระโดด หนุนให้มูลค่าตลาด (market cap) ของหลายบริษัทพุ่งทำสถิติเป็นว่าเล่น
ไม่ว่าจะเป็น “อินวิเดีย” (Nvidia), “ไมโครซอฟท์” (Microsoft), “แอปเปิล” (Apple) และ “อัลฟาเบต” (Alphabet) ที่อยู่แถว ๆ 4-5 ล้านล้านดอลลาร์ บริษัทเทคโนโลยีระดับโลกที่รวมถึง 4 บริษัทดังกล่าวต่างก็ทุ่มงบประมาณจำนวนมากในการพัฒนา AI
ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น รวมถึงหลายบริษัทหันมาออกหุ้นกู้เพื่อระดมทุนจนทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แทนที่จะใช้กระแสเงินสดของบริษัทเหมือนในอดีต แม้แต่บริษัทที่มีเงินสดสำรองในมือมหาศาล เนื่องจากต้นทุนการกู้ยืมที่ต่ำและความต้องการที่แข็งแกร่งของบรรดานักลงทุน
ข้อมูลจาก “ดีลอจิก” (Dealogic) ระบุว่า นับถึงสัปดาห์แรกของเดือนธันวาคมปี 2568 บริษัทเทคโนโลยีระดับโลกออกหุ้นกู้รวมกันราว 4.283 แสนล้านดอลลาร์ แบ่งเป็นบริษัทอเมริกัน 3.418 แสนล้านดอลลาร์ ทิ้งห่างบริษัทเทคโนโลยียุโรปที่อยู่ที่ 4.91 หมื่นล้านดอลลาร์ และบริษัทจากเอเชียอยู่ที่ 3.3 หมื่นล้านดอลลาร์
“มิเชล คอนเนลล์” ประธานบริษัท “พอร์เทีย แคปิตอล แมเนจเมนต์” (Portia Capital Management) อธิบายว่า การลงทุนด้าน AI ที่ได้เงินมาจากการออกหุ้นกู้ ซึ่งเป็นตราสารหนี้ที่ออกโดยภาคเอกชนเพื่อกู้ยืมเงินระยะยาว สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง เนื่องจากเทคโนโลยีล้าสมัยอย่างรวดเร็วและอายุการใช้งานของชิปค่อนข้างสั้น ทำให้บริษัทต่าง ๆ
ต้องลงทุนใหม่ตลอดเวลา ขณะเดียวกัน การออกหุ้นกู้จำนวนมากเริ่มส่งผลให้ภาระหนี้เพิ่มขึ้นและทำให้สัดส่วนความสามารถในการชำระหนี้ของบางบริษัทลดลง ทำให้เกิดคำถามต่อสถานะทางการเงินหากการลงทุนด้าน AI ไม่ได้ให้ผลตอบแทนตามที่คาดหวัง
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ส่วนใหญ่ยังมีกำไร รวมถึงมีเงินสดสำรองจำนวนมาก และหลายบริษัทติดอันดับบริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูงสุดในโลก จากการวิเคราะห์ของ “รอยเตอร์ส” เกี่ยวกับบริษัทเทคโนโลยีมากกว่า 1,000 แห่งที่มีมูลค่าตลาดอย่างน้อย 1 พันล้านดอลลาร์
พบว่า ค่ามัธยฐานของอัตราส่วนหนี้สินต่อกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (debt-to-EBITDA ratio) เพิ่มขึ้นเป็น 0.4 นับถึงสิ้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา คิดเป็นเกือบ 2 เท่าของระดับที่หนี้พุ่งสูงในปี 2563 ถึงแม้ว่าภาระหนี้จะยังคงต่ำกว่าระดับที่น่าเป็นห่วง แต่การเพิ่มขึ้นดังกล่าวสะท้อนว่า หนี้สินเพิ่มขึ้นเร็วกว่ากำไร ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงได้หากกระแสเงินสดไม่เพิ่มตาม และจะเป็นความเสี่ยงเชิงโครงสร้างที่จะกระทบต่อเศรษฐกิจโลกโดยรวม ไม่ใช่แค่อุตสาหกรรมเทคโนโลยี
“S&P โกลบอล” ประเมินว่า ในช่วง 11 เดือนแรกของปีนี้ เม็ดเงินที่เข้าสู่ตลาด Data Center อยู่ที่ราว 6.1 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่าเมื่อเทียบกับทั้งปี 2567 ที่อยู่ที่ 6.08 หมื่นล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ จำนวนข้อตกลงเกี่ยวกับ Data Center อยู่ที่ 104 ธุรกรรม ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ ตามด้วยภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ส่วนยุโรปมีแนวโน้มที่ Data Center จะขยายตัวในอัตราที่ต่ำกว่าภูมิภาคอื่น ๆ
นอกจากนี้ ยังมีเม็ดเงินจากแหล่งอื่น ๆ อาทิ นักลงทุนในหุ้นนอกตลาด (private equity), ธุรกิจร่วมลงทุน (venture capital) และกองทุนเพื่อความมั่งคั่ง ราว 3.5 แสนล้านดอลลาร์ ส่วนการออกหุ้นกู้ของบริษัทเทคโนโลยีอีกราว 2 แสนล้านดอลลาร์ และอีก 1.5 แสนล้านดอลลาร์ จากการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ อาทิ หลักทรัพย์ที่มีสินทรัพย์ค้ำประกัน (Asset-Backed Security-ABS) และตราสารหนี้ที่มีสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์เป็นหลักประกันการจำนอง (Commercial mortgage-backed security-CMBS)
ปัจจุบัน ทั่วโลกมี Data Center แล้วประมาณ 11,000 แห่ง เพิ่มขึ้นร้อยละ 500 ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา และกำลังจะมีเพิ่มขึ้นอีก ขณะที่บริษัทด้าน AI ขนาดใหญ่สุด 4 แห่ง ได้แก่ แอมะซอน, เมตา, กูเกิล และไมโครซอฟท์ ได้เพิ่มการใช้จ่ายด้าน AI อย่างต่อเนื่อง ประเมินว่าในอีก 2 ปีข้างหน้า บริษัทเหล่านี้จะใช้จ่ายเงินมากกว่า 7.5 แสนล้านดอลลาร์ สำหรับการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับ AI ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับพนักงาน อาทิ Data Center, ชิป และเซิร์ฟเวอร์
เหตุผลเบื้องหลังการใช้จ่ายมหาศาลด้าน AI คือ ความคาดหวังเรื่องรายได้ที่จะตามมา “มอร์แกน สแตนเลย์” ประเมินว่า รายได้จาก AI แบบรู้สร้าง (generative AI) ซึ่งรวมถึงแชตบอต, AI agent ซึ่งเป็นระบบที่สามารถตัดสินใจได้ด้วยตนเอง และการใช้ AI สร้างภาพ น่าจะเพิ่มขึ้นจาก 4.5 หมื่นล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว อยู่ที่ 1 ล้านล้านดอลลาร์ ภายในปี 2571
แต่ก็ใช่ว่า AI จะทำรายได้คุ้มกับการลงทุนเสมอไป อย่างกรณีของแชตบอตอัจฉริยะ “แชตจีพีที” (ChatGPT) ของค่าย “โอเพนเอไอ” (OpenAI) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของยุคเฟื่องฟูด้าน AI โดยปัจจุบันมีผู้ใช้งาน ChatGPT ประจำสัปดาห์ถึง 800 ล้านคน
ซึ่งแม้จะเป็นจำนวนที่สูง แต่ก็มีคำถามเกี่ยวกับการนำไปใช้ในเชิงธุรกิจ ผลการศึกษาของสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา
พบว่า ร้อยละ 95 ขององค์กรไม่ได้รับผลตอบแทนใด ๆ จากการลงทุนในโครงการนำร่องเกี่ยวกับ AI แบบรู้สร้าง “ไมโครซอฟท์” คาดการณ์แนวโน้ม AI ในปี 2569 ซึ่งจะเป็นยุคใหม่ของ AI โดยเปลี่ยนผ่านจากการเป็น “เครื่องมือ” ไปสู่การเป็น “คู่หู” ของมนุษย์ โดยในอนาคต AI จะไม่ได้แทนที่มนุษย์ แต่จะช่วยเสริมศักยภาพของมนุษย์ ดังนั้น อย่าแข่งขันกับ AI แต่ควรมุ่งเน้นไปที่การเรียนรู้วิธีการทำงานร่วมกัน
นอกจากนี้ AI agent ควรมีระบบป้องกันความปลอดภัยเพื่อไม่ให้เกิดความเสี่ยง ขณะเดียวกัน AI ก็ช่วยลดช่องว่างด้านสุขภาพของโลก ซึ่งขณะนี้ AI พัฒนาไกลกว่าการวินิจฉัยโรค ไปสู่การคัดกรองอาการและวางแผนการรักษา ทั้งนี้ คาดว่า ทั่วโลกจะขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ถึง 11 ล้านคน ภายในปี 2573 เทคโนโลยี AI จึงอาจช่วยแก้ปัญหาช่องว่างดังกล่าวที่จะกระทบต่อประชากร 4.5 พันล้านคนทั่วโลก
ขณะเดียวกัน AI จะกลายเป็นหัวใจสำคัญของการวิจัย ซึ่งสามารถสร้างโลกที่นักวิทยาศาสตร์ทุกคนจะมีผู้ช่วย AI ในห้องปฏิบัติการ ทำให้การวิจัยรวดเร็วขึ้นและเปลี่ยนแปลงวิธีการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ รวมถึงโครงสร้างพื้นฐาน AI จะฉลาดและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ขณะที่การประมวลผลแบบผสมผสาน ทั้ง AI, ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ และการประมวลผลควอนตัมที่ทำงานร่วมกัน จะผลักดันให้เกิดความก้าวหน้าในด้านวัสดุ การแพทย์ และอื่น ๆ สรุปให้เหลือ 20 บรรทัด
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
